จำนวนโรงเรียนอนุบาลในจีนหดตัวลงอย่างรุนแรงภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี กลายเป็นสัญญาณเตือนแรงเกี่ยวกับผลกระทบของภาวะเกิดน้อยที่กำลังกัดกร่อนโครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาของประเทศอย่างชัดเจน โรงเรียนอนุบาลหลายหมื่นแห่งทั่วประเทศทยอยปิดตัวลง ขณะที่ตัวเลขเด็กเล็กที่เคยเต็มห้องเรียนกลับลดฮวบในอัตราที่น่าวิตก
ข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการของจีนระบุว่า การลงทะเบียนเรียนในระดับอนุบาลลดลงจากจุดสูงสุดที่ 48 ล้านคนในปี 2020 เหลือเพียงประมาณ 36 ล้านคนในปี 2024 หรือหายไปถึง 12 ล้านคนภายในเวลาเพียงสี่ปี ขณะเดียวกัน จำนวนโรงเรียนอนุบาลสำหรับเด็กอายุ 3-5 ปีก็ลดลงไปถึง 41,500 แห่ง จากจำนวนสูงสุดเกือบ 295,000 แห่งในปี 2021
“จำนวนเด็กที่ลดลงได้ฝังตัวอยู่ในระบบแล้ว และสิ่งนี้จะไม่เปลี่ยนแปลง” สจวร์ต ไกเทล-บาสเทน ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์การสูงวัยแห่งมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮ่องกง (HKUST) กล่าว พร้อมย้ำว่าอัตราการเกิดในจีนลดลงอย่าง “มหาศาล” เมื่อเทียบกับช่วง 5 หรือ 10 ปีก่อน
เขาเตือนว่า การหดตัวของภาคการศึกษาปฐมวัยเป็นเพียงบทเริ่มต้นของความท้าทายที่ลึกกว่านั้นอีกมาก ประเทศกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างรวดเร็ว และแนวโน้มประชากรลดลงติดต่อกันมานานถึงสามปีนับถึงปี 2024 แม้จะยกเลิกนโยบายลูกคนเดียวมาตั้งแต่ปี 2016 แต่ก็ยังไม่สามารถพลิกแนวโน้มนี้กลับมาได้
แม้ปี 2024 จะมีจำนวนการเกิดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 9.3 ล้านคน จากระดับต่ำสุดในปี 2023 แต่ก็ยังห่างไกลจากระดับที่เคยทำได้ในปี 2017 ซึ่งอยู่ที่ 17.9 ล้านคน และยังคงต่ำกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนชัดถึงความท้าทายด้านประชากรที่จีนกำลังเผชิญ ซึ่งไม่ได้ส่งผลแค่กับห้องเรียนอนุบาลในวันนี้ แต่หมายถึงโครงสร้างสังคมในอนาคตที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างไม่มีวันย้อนกลับ
ท่ามกลางชุมชนที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว โรงเรียนอนุบาลหลายแห่งในจีนกำลังถูกแปลงสภาพให้ตอบโจทย์โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป จ้วง เหยียนฟาง นักการศึกษาและเจ้าของโรงเรียนอนุบาลเอกชนในเมืองจินหัว มณฑลเจ้อเจียง คือหนึ่งในผู้ประกอบการที่ตัดสินใจปรับตัว ด้วยการเปลี่ยนโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งของเธอ ซึ่งเคยมีนักเรียนถึง 270 คน ให้กลายเป็นบ้านพักคนชรา 42 เตียงในปี 2023
“พออัตราการเกิดลดลง จำนวนเด็กก็ลดลงตามอย่างเลี่ยงไม่ได้” จ้วงกล่าว พร้อมประเมินว่า โรงเรียนอนุบาลเอกชนในพื้นที่กว่า 90% ปิดตัวลงแล้วภายในเวลาไม่นาน การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างรวดเร็วในจีนทำให้ความต้องการด้านการศึกษาปฐมวัยถดถอยลงอย่างชัดเจน ขณะที่บริการสำหรับผู้สูงอายุเริ่มกลายเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ประกอบการบางราย
แม้เธอจะพยายามปรับรูปแบบธุรกิจ ด้วยการขยายบริการในอีกสองโรงเรียนที่เหลือให้รองรับเด็กเล็กตั้งแต่อายุเพียง 10 เดือน แต่จำนวนเด็กก็ยังไม่ฟื้นตัว โดยมีนักเรียนรวมกันเพียงราว 150 คน จากที่เคยมีมากกว่า 1,000 คนภายในไม่กี่ปีก่อน
ในขณะที่ผู้ประกอบการพยายามดิ้นรน นักวิชาการบางส่วนกลับมองว่านี่คือโอกาสในการยกเครื่องระบบการศึกษาใหม่ทั้งหมด สจวร์ต ไกเทล-บาสเทน นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮ่องกงเสนอว่า รัฐบาลจีนควรนำทรัพยากรที่เหลือจากการหดตัวของภาคการศึกษาปฐมวัยไปลงทุนในด้านคุณภาพอย่างจริงจัง ครอบคลุมตั้งแต่ศูนย์ดูแลเด็กเล็กจนถึงมหาวิทยาลัย พร้อมปรับปรุงระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัย “เกาเข่า” ที่ขึ้นชื่อว่าทั้งเครียดและแข่งขันสูงที่สุดในโลก
“จีนต้องปฏิรูประบบทั้งหมดเพื่อรองรับประชากรที่แม้จะน้อยลงและมีอายุมากขึ้น แต่ควรมีการศึกษาและทักษะที่สูงขึ้น รวมถึงสุขภาพที่ดีขึ้น หากสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตได้จริง” เขากล่าว
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยอมรับว่ายังมีโจทย์สำคัญที่รอคำตอบ จีนจะจัดการกับโครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาที่มีอยู่มหาศาลอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นอาคารเรียนหรือที่ดิน ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับประชากรวัยเรียนจำนวนมากในอดีต
สำหรับจ้วงแล้ว การเปลี่ยนผ่านจากโรงเรียนมาเป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ศูนย์แห่งใหม่ของเธอจะมีผู้สูงวัยพักอยู่ 16 คน และให้บริการกิจกรรมสังคมและโรงอาหารแก่ผู้สูงอายุในชุมชนกว่า 200 คน แต่เธอยอมรับว่า ผู้สูงวัยส่วนใหญ่ยังเลือกที่จะอาศัยอยู่กับครอบครัว มากกว่าย้ายเข้าศูนย์ดูแลแบบถาวร
“เรากำลังคิดอยู่ว่าจะประคองธุรกิจต่อไปได้อย่างไรในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า” เธอกล่าว “บางคนก็เลือกปิดไปเลย...แต่เรายังหวังว่าจะรักษาสิ่งที่เราสร้างไว้มาตลอดให้เดินหน้าต่อได้”