แม้จะยังไม่ถึงวันครบเส้นตายอย่างเป็นทางการ แต่ภาคธุรกิจไทยแทบทุกกลุ่มต่างจับตา “วันที่ 9 กรกฎาคม 2568” อย่างใกล้ชิด เพราะนั่นคือวันที่มาตรการผ่อนผันภาษีนำเข้าของสหรัฐฯจะสิ้นสุดลง และหากไม่มีการขยายเวลา ไทยอาจต้องเผชิญกับมาตรการภาษีชุดใหม่ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคการค้าและเศรษฐกิจภาพรวม ในขณะที่เศรษฐกิจโลกเองก็กำลังเปราะบางไม่แพ้กัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า หากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังคงความไม่แน่นอนเช่นปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยปี 2568 อาจขยายตัวได้เพียง 1.4% และมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งเป็นผลจากแรงกดดันหลายด้าน ไม่ใช่แค่สงครามการค้า แต่ยังรวมถึงยอดส่งออกที่ทรงตัว ยอดขายรถยนต์ที่หดตัว นักท่องเที่ยวที่ลดลง หนี้เสียที่ยังเพิ่ม และกิจกรรมลงทุนใน ESG ที่ชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยใน 2 กรณี คือกรณีฐาน และ กรณีที่ไทยดดนภาษี 10% พบว่า ไตรมาสแรกของปี 2568 เศรษฐกิจยังโตได้ดีในทั้งสองกรณี แต่ในครึ่งหลังของปี โดยเฉพาะ Q4 เศรษฐกิจเสี่ยง “ชะลอ” หรือ “ติดลบได้ ” โดยเฉพาะในกรณีฐาน
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการและ Chief Economist ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย สะท้อนภาพว่า ความไม่แน่นอนของนโยบายสหรัฐฯ โดยเฉพาะการค้าระหว่างประเทศได้สร้างผลกระทบไปทั่วโลก ล่าสุด OECD ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2568 ลงเหลือเพียง 2.9% ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เองก็ถูกหั่นประมาณการลงเหลือ 1.6% พร้อมกับแรงกดดันต่อตลาดการเงินที่เพิ่มขึ้น ทั้งค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงกว่า 8% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เร่งตัวขึ้น สะท้อนความไม่มั่นคงของเศรษฐกิจเบอร์หนึ่งของโลก
ในฝั่งของไทย ผลกระทบเริ่มปรากฏชัดขึ้นเรื่อย ๆ นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ ระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค หากสถานการณ์ภาษีไม่คลี่คลาย และแม้ในกรณีที่อัตราภาษีคงไว้เพียง 10% ตลอดทั้งปี เศรษฐกิจไทยก็น่าจะโตได้เพียง 1.8% ขณะที่การส่งออกขยายตัวเพียง 0.5% ซึ่งถือว่าต่ำมาก
ภาคอุตสาหกรรมก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่ดีกว่านัก นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ ชี้ว่าห่วงโซ่การผลิตในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องจักรกล และเคมีภัณฑ์ยังมีความเสี่ยงสูงจากความผันผวนในตลาดส่งออก โดยเฉพาะจากจีนและสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน สัดส่วนสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้นยังทำให้การแข่งขันในประเทศรุนแรงขึ้น โดยสัดส่วนมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคต่อยอดขายของธุรกิจค้าปลีกปี 2568 จะอยู่ที่กว่า 30% และในมิติของรายได้จากการท่องเที่ยว กสิกรฯ คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้อาจหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี
สถานการณ์ในตลาดรถยนต์ก็ไม่น่ารื่นรมย์นัก ดร.รุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ คาดว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศครึ่งปีหลังจะหดตัวลึกขึ้นเป็น -1.7% YoY จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางและการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด แม้จะมีแรงกระตุ้นบ้างจากรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดจากจีน ขณะเดียวกัน รายได้จากภาคเกษตรยังเผชิญแรงกดดันจากทั้งด้านราคาและความต้องการ ส่งผลให้รายได้เกษตรกรยังคงอยู่ในช่วงขาลง
ในมิติการเงิน ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ระบุว่าสภาพการปล่อยสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ยังอ่อนแอ โดยคาดว่าสินเชื่อรวมจะหดตัว -0.6% จากที่เคยประเมินไว้ที่ 0.6% และ NPL หรือหนี้เสียยังคงเป็นขาขึ้น แม้ยังอยู่ในระดับไม่เกิน 3% ก็ตาม โดยธนาคารต่าง ๆ พยายามควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้และขายหนี้เสียอย่างต่อเนื่อง
ในด้าน ESG ดร.กฤตย์ สีตะธนี ให้ภาพว่ากิจกรรมด้านความยั่งยืนของภาคธุรกิจเริ่มชะลอลง การออกตราสารหนี้ด้านสิ่งแวดล้อมลดลง และกลุ่มที่ยังระดมทุนมักเป็นบริษัทใหญ่ที่มีโครงการอยู่แล้ว ในขณะที่ SME จำนวนไม่น้อยเลือกชะลอการลงทุนไปก่อน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยสรุปว่า สิ่งที่ภาครัฐควรทำในช่วงเวลาที่ความไม่แน่นอนยังสูง คือ การใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โดยควรเน้นมาตรการระยะสั้นที่จำเป็น พร้อมวางรากฐานมาตรการระยะยาวเพื่อยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยควบคู่กัน และสำหรับภาคเอกชน กลยุทธ์สำคัญที่ควรยึดไว้ให้มั่นในระยะนี้ คือ “การรักษาสภาพคล่อง” เพื่อให้อยู่รอดในคลื่นความผันผวนที่ยังไม่สิ้นสุดในเร็ววัน.
ที่มา: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย