กลุ่มภาคธุรกิจของเวียดนามได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือจำนวน 20 ฉบับ รวมมูลค่าประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ล่วงหน้าก่อนการเปิดฉากเจรจาอย่างเป็นทางการรอบที่สาม ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า
ตามรายงานของกระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมเวียดนาม ข้อตกลงดังกล่าวได้รับการลงนามระหว่างการเยือนของรัฐมนตรี โด ดึ๊ก ยวี (Do Duc Duy) ไปยังรัฐไอโอวา โอไฮโอ แมริแลนด์ และกรุงวอชิงตัน ระหว่างวันที่ 2–6 มิถุนายนที่ผ่านมา
ในแถลงการณ์ระบุว่า “ข้อตกลงเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจอย่างจริงจังของทั้งภาคเอกชนและภาครัฐของเวียดนาม ในการส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าอย่างสมดุลกับสหรัฐฯ และเพื่อแสดงความหวังว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะพิจารณาทบทวนมาตรการจัดเก็บภาษีตอบโต้ในอัตราที่สูงต่อสินค้าจากเวียดนามอีกครั้ง”
เวียดนาม ซึ่งมีเศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก กำลังเดินหน้าผลักดันความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของประเทศ ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าสูงถึง 46% ที่เคยถูกเสนอ ก่อนที่สหรัฐฯ จะตัดสินใจชะลอการจัดเก็บภาษีเหลือ 10% เป็นระยะเวลา 90 วัน เพื่อเปิดทางให้มีการเจรจาอย่างเป็นทางการ
การใช้ถ้อยคำว่า “ความร่วมมือโดยสุจริต” จากฝั่งเวียดนามครั้งนี้ สอดคล้องกับถ้อยแถลงก่อนหน้านี้ในสัปดาห์เดียวกันที่รัฐบาลเวียดนามได้ยื่นหนังสือตอบกลับข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ หลังจากรัฐบาลทรัมป์เพิ่มแรงกดดันให้เวียดนามลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวโยงกับจีน
ทั้งนี้ เวียดนามยังได้รายงานความคืบหน้าในการเจรจารอบที่สองซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว แม้จะยังมีประเด็นบางส่วนที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเวียดนามได้เริ่มดำเนินมาตรการบางประการเพื่อตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ เช่น การปราบปรามการฉ้อโกงทางการค้าอย่างเข้มงวดมากขึ้น และการแสดงความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ อย่างเป็นรูปธรรม
การเคลื่อนไหวจากฝั่งเวียดนามเกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่งรายการข้อเรียกร้องอย่างเป็นทางการ ซึ่งมีความเข้มงวดสูงต่อรัฐบาลฮานอย หนึ่งในข้อเรียกร้องสำคัญคือการลดการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมจากจีน และการควบคุมกระบวนการผลิตและห่วงโซ่อุปทานให้มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้มากขึ้น
ข้อเรียกร้องดังกล่าวถูกรวบรวมอยู่ในภาคผนวกของกรอบการเจรจาที่จัดทำโดยฝ่ายสหรัฐฯ และส่งถึงเวียดนามเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ภายหลังการเจรจารอบที่สองเสร็จสิ้น โดยมีเป้าหมายชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงการจัดเก็บภาษีตอบโต้ในอัตรา 46%
แหล่งข่าวที่มีความใกล้ชิดกับกระบวนการเจรจาระบุว่า ข้อเรียกร้องเหล่านี้มีความเข้มงวดอย่างยิ่ง และยังไม่ปรากฏว่ารัฐบาลเวียดนามจะสามารถตอบสนองภายในเส้นตายที่กำหนดไว้หรือไม่
ข้อกังวลที่ชัดเจนคือ หากเวียดนามต้องปรับลดการพึ่งพาจีนในภาคอุตสาหกรรม อาจส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตซึ่งมีการพึ่งพาวัตถุดิบ ชิ้นส่วน และเทคโนโลยีจากจีนอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเสื้อผ้า ซึ่งเป็นฐานการผลิตสำคัญของแบรนด์ระดับโลก เช่น Apple และ Nike
นอกจากนี้ การลดบทบาทจีนในห่วงโซ่อุปทานอาจขัดแย้งกับนโยบายพื้นฐานของเวียดนามที่พยายามรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตและความมั่นคงกับจีน ซึ่งเป็นทั้งนักลงทุนรายใหญ่และหุ้นส่วนในประเด็นความมั่นคงระดับภูมิภาค โดยเฉพาะกรณีพิพาทในทะเลจีนใต้
ตั้งแต่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเริ่มขึ้นในปี 2018 เวียดนามได้กลายเป็นหนึ่งในประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ไปยังสหรัฐฯ โดยมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่า อย่างไรก็ตาม ข้อมูลในปี 2024 ยังสะท้อนให้เห็นถึงการนำเข้าสินค้าจากจีนที่เพิ่มขึ้นควบคู่กัน โดยมีมูลค่าการค้าระหว่างเวียดนามกับทั้งจีนและสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 140,000 ล้านดอลลาร์
สหรัฐฯ แสดงความกังวลว่า เวียดนามอาจถูกใช้เป็นทางผ่านของสินค้าจีนเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี โดยอาศัยการเปลี่ยนฉลาก “ผลิตในเวียดนาม” ทั้งที่สินค้านั้นไม่ได้มีการเพิ่มมูลค่าในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
แม้เวียดนามจะเริ่มดำเนินการตรวจสอบและควบคุมการหลีกเลี่ยงภาษีในรูปแบบดังกล่าว แต่สถิติการค้าในเดือนเมษายน 2025 ยังคงแสดงให้เห็นว่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และการนำเข้าจากจีนยังอยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เวียดนามได้แสดงท่าทีตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ด้วยการประกาศแผนจัดซื้อเครื่องบินจากบริษัทในสหรัฐฯ และลงนามบันทึกความเข้าใจในหลากหลายสาขา ทั้งพลังงานและสินค้าเกษตร อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวเจรจาเปิดเผยว่า ฝ่ายสหรัฐฯ ต้องการเห็นข้อตกลงที่มีผลผูกพันตามกฎหมาย มากกว่าความร่วมมือเชิงสัญลักษณ์หรือคำมั่นเบื้องต้นเท่านั้น