ญี่ปุ่นยังคงครองใจนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะในปี 2568 นี้ ที่กลายเป็น “ปีทองของการท่องเที่ยวญี่ปุ่น” อย่างแท้จริง จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทยและองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น (JNTO) ระบุว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม–เมษายน) มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าญี่ปุ่นรวม 14.4 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
เฉพาะในเดือนเมษายนเพียงเดือนเดียว ก็มียอดนักท่องเที่ยว 3.9 ล้านคน ซึ่งถือเป็นระดับ “สูงสุดเป็นประวัติการณ์” ตั้งแต่มีการบันทึกสถิติ
สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติญี่ปุ่น (JNTO) ระบุว่า ฤดูกาลชมซากุระ ช่วยกระตุ้นความต้องการเดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่นในจากนักท่องเที่ยวหลายประเทศ นอกจากนี้ความต้องการท่องเที่ยวต่างประเทศในบางประเทศ ทั้งเอเชีย ยุโรป สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลียก็เพิ่มขึ้น สอดรับกับช่วงวันหยุดอีสเตอร์
ศาสตราจารย์กิตติคุณ คัตสึฮิโระ มิยาโมโตะ แห่งมหาวิทยาลัยคันไซ ประเมินว่า ฤดูกาลชมซากุระในปีนี้จะสร้างเม็ดเงินให้กับทางเศรษฐกิจราว 1.1 ล้านล้านเยน (ประมาณ 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 616,000 ล้านเยนในปี 2023
นอกจากนี้ ค่าเงินเยนอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการท่องเที่ยวให้เฟื่องฟู โดยข้อมูลที่เผยแพร่ในเดือนมกราคมระบุว่า ญี่ปุ่นเคยมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศรวม ราว 36.8 ล้านคนในปีที่แล้ว (2566) ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด ขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นตั้งเป้าหมายว่าจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเป็น 60 ล้านคนต่อปีภายในปี 2030 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า
การมีจำนวนนักท่องเที่ยวมากขึ้น ส่งผลให้มีการบริโภค ซูชิและข้าวปั้น (โอนิกิริ) จำนวนมาก เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ญี่ปุ่นเผชิญปัญหา ข้าวขาดตลาด จนราคาข้าวพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ และกลายเป็น “ปัญหาทางการเมือง” ที่รัฐบาลต้องรับมือ
ทางการระบุว่า ต้องการกระจายตัวนักท่องเที่ยวไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศให้ทั่วถึงมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยง “จุดแออัด” จากนักท่องเที่ยวที่แห่ไปชมซากุระในฤดูใบไม้ผลิ หรือชมใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง
นับจากเดือน ม.ค.–เม.ย. 2568 เทียบกับปีก่อน พบว่า
1.จีน 2 ล้านคน โต 68%
2.ไต้หวัน 1.5 ล้านคนโต 12%
3.ฮ่องกง 1.4 ล้านคน โต 13%
4.เกาหลีใต้ 1.2 ล้านคน โต 8%
5.ไทย 0.52 ล้านคน โต 12%
จะเห็นได้ว่า หนึ่งในชาติที่แห่ไปเที่ยวญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องคือ ประเทศไทย โดยคนไทยเดินทางไปญี่ปุ่นช่วง 4 เดือนแรกนี้แล้วถึง 5.2 แสนคน เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบปีต่อปี ทำให้ไทยติด อันดับที่ 5 ของประเทศที่มีนักท่องเที่ยวไปญี่ปุ่นมากที่สุด รองจาก จีน ไต้หวัน ฮ่องกง และเกาหลีใต้
สิ่งที่น่ากังวลคือ ประเทศไทยเริ่มสูญเสีย “นักท่องเที่ยวจากจีน” ซึ่งเคยเป็นตลาดหลักของเราให้กับญี่ปุ่นไปเรื่อยๆ เพราะ 4 เดือนแรกชาวจีนเที่ยวญี่ปุ่นกว่า 2 ล้านคน แต่เที่ยวไทยลดลง โดยจากต้นปี ถึง 11 พ.ค.68 นักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยเหลือ 1,766,870 คน
สอดคล้องกับจากข้อมูลของ KKP Research พบว่า สัดส่วนเที่ยวบินขาออกจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่บินตรงไปญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2567–2568
ขณะเดียวกันสัดส่วนเที่ยวบินจากจีนมายัง ประเทศไทยกลับลดลง
ชัดเจนว่านักท่องเที่ยวจีนกำลัง “เบนเข็ม” จากไทยไปญี่ปุ่นอย่างชัดเจน ซึ่งอาจสะท้อนจากหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านความปลอดภัยที่เคยเกิดขึ้นในไทย สร้างความไม่มั่นใจให้กับชาวจีน หรือแม้แต่ความนิยมวัฒนธรรมญี่ปุ่นในหมู่นักเดินทางจีนที่เพิ่มสูงขึ้น ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลง
มุมมองจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าในปี 2568 นี้ คนไทยจะเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นรวม 1.2 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อน พร้อมกับเม็ดเงินใช้จ่ายรวมสูงถึง 5.4 หมื่นล้านบาท (เฉลี่ยทริปละราว 45,000 บาท) เพิ่มขึ้น 5%
ญี่ปุ่นกำลังกลายเป็น “แม่เหล็กท่องเที่ยวแห่งเอเชีย” อย่างชัดเจน ทั้งในสายตานักท่องเที่ยวทั่วโลก และแม้กระทั่งจากจีนที่เคยแวะเวียนมาไทยบ่อย ๆ การเติบโตของญี่ปุ่นสะท้อนถึงการวางแผนระยะยาวและคุณภาพบริการที่ตอบโจทย์ยุคใหม่ ในขณะที่ไทยอาจต้องเร่งปรับตัวทั้งด้านภาพลักษณ์ ความปลอดภัย และบริการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ก่อนที่การท่องเที่ยวจะไม่ใช่พระเอกช่วยเศรษฐกิจไทยอีกต่อไป
ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย , KKP Research , เจแปนไทม์