แม้มีกระแสข่าววิกฤต นายซูน เปาหลง อดีตกรรมการและปัจจุบันยังคงเป็นผู้จัดการทั่วไป บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ยืนยันว่า “ยังคงดำเนินธุรกิจในไทยต่อเนื่อง ไม่หนีไปไหน” แต่คงต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำและผลลัพธ์ที่ชัดเจนในอนาคต
อนาคตของ NETA ในประเทศไทยยังคงเต็มไปด้วยความเสี่ยง และต้องจับตาดูว่าบริษัทจะสามารถฟื้นตัวจากวิกฤตครั้งนี้ได้หรือไม่ และผู้บริโภคจะได้รับความเป็นธรรมจากการดำเนินการในครั้งนี้ได้อย่างไรบ้างต้องติดตามกันต่อไป
NETA อาการหนัก? บริษัทแม่ค้างหนี้ 4 แสนล้าน
ยอดขา EV ในไทย ดิ่ง 45.8%
สถานการณ์ความเปราะบางของ NETA ในประเทศไทยเชื่อมโยงโดยตรงกับปัญหาทางการเงินอย่างรุนแรงของบริษัทแม่ โฮซอน ออโต้ ในประเทศจีน ซึ่งมีรายงานหนี้สินสูงถึง 100,000 ล้านหยวน หรือประมาณ 400,000 ล้านบาท ปัญหาสภาพคล่องนี้ส่งผลให้ยอดขายของ NETA ในจีนลดลงอย่างฮวบฮาบ โดยในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2568 ยอดขายลดลงถึง 98% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นอกจากนี้ยังมีข่าวการลดเงินเดือนและการปลดพนักงานต่อเนื่องในบริษัทแม่
ผลกระทบจากวิกฤตของบริษัทแม่ได้สะเทือนถึงการดำเนินงานในไทยอย่างชัดเจน โดยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2567 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า NETA ในไทยลดลง 45.8% เหลือเพียง 6,534 คัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง การลดลงของยอดขายนี้ยังส่งผลให้โรงงานบางชันเยนเนอเรลเอเซมบลี ซึ่งรับหน้าที่ประกอบรถยนต์ไฟฟ้า NETA ในไทย เตรียมปลดพนักงานกว่า 400 คน สะท้อนถึงการปรับลดกำลังการผลิตตามอุปสงค์ที่หดตัว
ปัญหาศูนย์บริการ NETA ในประเทศไทย
จากการตรวจสอบของ SPOTLIGHT ในกลุ่มเฟสบุ๊คของผู้ใช้รถ NETA มีความคิดเห็นไปในทางเดียวกัน เช่น มีศูนย์บริการที่มีน้อยลง สาเหตุจากดีลเลอร์หลายรายทยอยปิดตัวลง สร้างผลกระทบต่อผู้ใช้รถ NETA เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องการรออะไหล่และเงื่อนไขการรับประกัน เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ท่ามกลางวิกฤตทางการเงินและธรรมาภิบาลของบริษัทแม่ แม้ว่า NETA จะพยายามแก้ไขด้วยการเปิดศูนย์กระจายอะไหล่ใหม่และให้คำมั่นสัญญาต่างๆ แต่ความท้าทายยังคงอยู่ที่การพิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาในทางปฏิบัติ และสร้างความมั่นใจให้กลับคืนมาในระยะยาว
สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือรายงานจากดีลเลอร์ NETA ที่ระบุว่า บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้จ่าย "อินเซนทีฟ" ให้กับดีลเลอร์เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแทนเงินสด ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของปัญหาสภาพคล่องอย่างรุนแรง การกระทำเช่นนี้บีบให้ดีลเลอร์ที่เหลือต้องเปิดแคมเปญ "Cut Loss" สำหรับ NETA V-II โดยมีการตั้งราคาโปรโมทที่ 399,000 บาท หรือต่ำกว่านั้น เพื่อระบายสต็อกรถยนต์ที่ได้รับมาแทนการชำระหนี้ นี่คือภาพสะท้อนของความกดดันที่เครือข่ายการจัดจำหน่ายกำลังเผชิญ และอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของแบรนด์ในระยะยาว
กรณีที่นางสาวสรินยา ศรีไทย พนักงานในตำแหน่ง Sale Operation Specialist ของบริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทองหล่อ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 เพื่อลงบันทึกประจำวันว่าตนเองอาจถูกหลอกให้เซ็นชื่อเป็นกรรมการบริษัทแต่เพียงผู้เดียวนั้น ได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่สะท้อนภาพวิกฤตการณ์ที่ซับซ้อนของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า NETA สัญชาติจีนในประเทศไทย ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของธรรมาภิบาลองค์กรที่น่ากังขา แต่ยังส่งสัญญาณถึงความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้าสำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในภาพรวม
หัวใจของเรื่องราวนี้อยู่ที่การที่นางสาวสรินยา ซึ่งเป็นพนักงานระดับปฏิบัติการในตำแหน่ง Sale Operation Specialist กลับพบว่าตนเองมีชื่อเป็นกรรมการผู้เดียวของบริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเคยมีรายได้สูงถึง 6,321 ล้านบาทในปี 2566 ทั้งที่เธอระบุว่าได้ตกลงกับผู้บริหารชาวจีนว่าจะต้องมีกรรมการอย่างน้อย 2 คน การที่ผู้บริหารชาวจีนหลายรายได้ถอนตัวออกจากตำแหน่งกรรมการ โดยล่าสุดคือนายซูน เปาหลง ในเดือนพฤษภาคม 2568 (แม้จะยังคงเป็นผู้จัดการทั่วไป) ยิ่งทำให้เกิดคำถามว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกรรมการนี้มีเจตนาใด และเป็นการผลักภาระความรับผิดชอบทั้งหมดให้แก่พนักงานชาวไทยหรือไม่
การแจ้งความของนางสาวสรินยา ไม่เพียงแต่เป็นการปกป้องสิทธิของตนเอง แต่ยังเป็นการเปิดเผยความจริงเบื้องหลังที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของสาธารณชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด
SPOTLIGHT ค้นข้อมูลจาก creden data ระบุผลการดำเนินงานของ เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงแรก โดยในปี 2565 มีรายได้ 1,466 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 80.7 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 แม้รายได้จะพุ่งสูงถึง 6,321 ล้านบาท แต่บริษัทกลับประสบภาวะขาดทุนสุทธิถึง 1,808 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนขายที่สูงกว่ารายได้ และค่าใช้จ่ายในการขายและบริการที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้ ณ สิ้นปี 2566 บริษัทมีขาดทุนสะสมติดลบ 1,808 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ 1,672 ล้านบาท
การเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริษัทอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 ที่มีการเปลี่ยนกรรมการถึง 2 ครั้ง และล่าสุดคือนางสาวสรินยา ศรีไทย เข้ามาแทนที่นายซูน เปาหลง ยิ่งตอกย้ำถึงความไม่มั่นคงและธรรมาภิบาลภายในองค์กร
แม้ว่า โฮซอน ออโต้ และ เนต้า ออโต้ (ประเทศไทย) จะออกมาชี้แจงว่าข่าวลือการล้มละลายไม่เป็นความจริง และบริษัทแม่กำลังปรับโครงสร้างธุรกิจโดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลท้องถิ่นจีน พร้อมแผนการเข้าตลาดหุ้นฮ่องกง และการเตรียมประกอบ Neta X ในไทยปี 2025 แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ทั้งการแจ้งความของพนักงาน การปิดตัวของดีลเลอร์ และการขายรถแบบขาดทุน ล้วนเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่อาจมองข้ามได้
แม้มีกระแสข่าววิกฤต นายซูน เปาหลง อดีตกรรมการและปัจจุบันยังคงเป็นผู้จัดการทั่วไป บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ยืนยันว่า “ยังคงดำเนินธุรกิจในไทยต่อเนื่อง ไม่หนีไปไหน” แต่คงต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำและผลลัพธ์ที่ชัดเจนในอนาคต
อนาคตของ NETA ในประเทศไทยยังคงเต็มไปด้วยความเสี่ยง และต้องจับตาดูว่าบริษัทจะสามารถฟื้นตัวจากวิกฤตครั้งนี้ได้หรือไม่ และผู้บริโภคจะได้รับความเป็นธรรมจากการดำเนินการในครั้งนี้ได้อย่างไรบ้างต้องติดตามกันต่อไป