นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม เปิดเผยว่าเขาได้ส่งจดหมายถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อเสนอจัดการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับกลุ่มประเทศอาเซียน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนในภูมิภาค
อันวาร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนหมุนเวียนประจำปีนี้ กล่าวในถ้อยแถลงเปิดประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ว่า เขาได้ติดต่อไปยังทำเนียบขาวเพื่อ “ขอความเข้าใจ” จากทรัมป์ และเสนอให้จัดการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ ขึ้นโดยเร็ว
แม้จะมีแผนเบื้องต้นให้จัดขึ้นในเดือนตุลาคม โดยยังไม่กำหนดสถานที่แน่ชัด แต่สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานว่า จดหมายของอันวาร์ได้เสนอให้สหรัฐฯ และอาเซียนจัดประชุมโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวทางการทูตเปิดเผยว่า บางประเทศสมาชิกอาเซียนยังคงลังเลต่อข้อเสนอดังกล่าว เนื่องจากกังวลว่าผู้นำสหรัฐฯ อาจปฏิบัติไม่เหมาะสมต่อผู้นำอาเซียน เช่นเดียวกับเหตุการณ์ล่าสุดที่ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวหาไซริล รามาโฟซา ผู้นำแอฟริกาใต้ ด้วยข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จเรื่อง "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนผิวขาว" ระหว่างพบกันที่ทำเนียบขาว
จดหมายของอันวาร์มีขึ้นท่ามกลางความวิตกที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคต่อแนวโน้มการค้าปกป้องตนเองของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญของหลายประเทศอาเซียนที่พึ่งพาการค้าโลกอย่างสูง
ภายใต้นโยบาย "ภาษีตอบโต้" ของสหรัฐฯ สินค้าส่งออกจากอาเซียนหลายรายการถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราตั้งแต่ 10% สำหรับสินค้าจากสิงคโปร์ ไปจนถึง 49% สำหรับสินค้าจากลาว มาตรการนี้ได้ส่งแรงกระแทกต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคและผลักดันให้อาเซียนต้องเร่งกระชับความร่วมมือภายในกลุ่มเพื่อรองรับแรงเสียดทานจากภายนอก
“ขณะนี้โลกกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของระเบียบภูมิรัฐศาสตร์ ระบบการค้าโลกตกอยู่ภายใต้แรงกดดันรอบใหม่จากมาตรการภาษีฝ่ายเดียวของสหรัฐฯ” อันวาร์กล่าว “แนวโน้มปกป้องผลประโยชน์ตนเองกลับมาอีกครั้ง ขณะที่พหุภาคีนิยมกำลังแตกสลายทีละชิ้น”
คำปราศรัยของอันวาร์สะท้อนถึงประเด็นหลักของการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งนี้ ซึ่งให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยผู้นำอาเซียนมีเป้าหมายลดการพึ่งพาตลาดภายนอก ด้วยการกระตุ้นการค้าในภูมิภาคและเร่งการบูรณาการด้านเศรษฐกิจ
ด้านประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ แห่งฟิลิปปินส์ กล่าวในที่ประชุมว่า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และอุปสรรคทางการค้าโดยไม่คาดคิด “มีแนวโน้มสร้างความปั่นป่วนต่อชุมชนของเรา ต่อห่วงโซ่อุปทาน และอาจลบล้างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจที่เราสะสมมา”
ในร่างแถลงการณ์ที่ Nikkei Asia ได้รับ ผู้นำอาเซียนเตรียมแสดง “ความกังวลอย่างยิ่ง” ต่อมาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐฯ และจะยืนยัน “พันธกิจร่วม” ต่อระบบการค้าระหว่างประเทศที่ยึดหลักกฎกติกา
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังเตรียมรับรอง “วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน 2045” ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี เพื่อยกระดับภูมิภาคให้ก้าวขึ้นเป็นเศรษฐกิจอันดับ 4 ของโลก รองจากสหรัฐฯ จีน และสหภาพยุโรป โดยเน้นการเพิ่มการค้าในกลุ่ม ยกระดับการผลิต การเงิน และส่งเสริมการใช้เงินสกุลท้องถิ่นในการชำระเงินระหว่างประเทศ
อ้างอิง: Nikkei Asia