Tesla ทำรายได้ไตรมาสที่ 4 พลาดเป้านักวิเคราะห์แม้ยอดขายรถเพิ่ม หลังจากหั่นราคารถหลายครั้งเพื่อสู้กับคู่แข่ง และบริษัทออกมาเผยวันนี้ว่าการเติบโตในปี 2024 อาจน้อยลงกว่าปีที่ผ่านมา กดดันให้ราคาหุ้นตกลงเกือบ 6% หลังปิดการซื้อขาย
ในวันนี้ (25 ม.ค.) Tesla ได้เปิดเผยผลประกอบการสำหรับไตรมาสที่ 4 ปี 2023 พบทำรายได้ไปทั้งหมด 2.517 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 9 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ยังพลาดเป้าของนักวิเคราะห์ที่ตั้งไว้ที่ 2.56 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้กำไรต่อหุ้น (earnings per share) อยู่ที่เพียง 71 เซนต์ จากที่คาดการณ์ไว้ที่ 74 เซนต์
ขณะที่รายได้สุทธิสำหรับไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าจาก 3.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปเป็น 7.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ แต่ส่วนมากเป็นเพราะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีมูลค่า 5.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากรัฐบาล ซึ่งเป็นสิทธิประโยชน์ที่จะได้เพียงครั้งเดียว
เมื่อรวมผลประกอบการไตรมาสที่ 4 เข้าไปแล้ว ทั้งปี 2023 Tesla จะทำรายได้ไปได้ทั้งหมด 8.242 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 15% จากปี 2022
ทั้งนี้ นอกจากรายได้จะออกมาไม่มากเท่าที่คาดแล้ว การเติบโตของยอดขายยังไม่เป็นไปตามเป้า เพราะในปี 2023 ที่ผ่านมา Tesla ส่งมอบรถได้มากขึ้นเพียง 38% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งน้อยกว่าเป้าหมายของ Tesla ที่ตั้งเป้าไว้ว่าบริษัทจะเพิ่มยอดขายรถให้เฉลี่ยถึง 50% ทุกปี
เมื่อดูจากตัวเลขที่ออกมา ผลประกอบการของ Tesla ในไตรมาสที่ 4 จึงเรียกได้ว่าค่อนข้างน่าผิดหวัง ทำให้นักลงทุนที่เริ่มกังขาในความสามารถในการทำกำไรของ Tesla อยู่แล้วจากการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้น เชื่อมั่นในตัวหุ้น Tesla น้อยลงอีก กดดันให้ราคาหุ้นลดลงไปเกือบ 6% จากราคาปิดตลาด 207.83 ดอลลาร์ต่อหุ้น ไปเหลือ 195.45 ดอลลาร์ต่อหุ้นเมื่อ 20.00 น. วันที่ 24 ม.ค. เวลาสหรัฐ
Tesla อธิบายกับนักลงทุนในการประกาศผลประกอบการว่า เหตุผลที่รายได้ของ Tesla ลดลงเกิดจากการที่ Tesla ต้องลดราคารถยนต์เพื่อสู้กับคู่แข่ง โดยเฉพาะผู้ผลิตรถจากจีน และการที่ Tesla ต้องลงทุนกับการวิจัยและพัฒนารถไลน์ใหม่ รวมไปถึง Cybertruck รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่แกะกล่องของบริษัท
ในปัจจุบัน Tesla ยังไม่ได้เปิดเผยแบบและราคาของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ แต่มีผู้คาดการณ์ว่ารถรุ่นใหม่นี้จะมีราคาถูกกว่ารถรุ่นปัจจุบัน เพราะในปัจจุบันอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้ามีผู้เล่นมาก และมีการแข่งขันสูง ทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถตั้งราคาสูงมากได้
แนวโน้มด้านราคานี้ทำให้นักลงทุนมองว่ารายได้ของ Tesla มีศักยภาพในการเติบโตได้ไม่ดีนัก เพราะแม้ Tesla จะสามารถจำหน่ายรถได้มากขึ้น รายได้ของ Tesla ก็ไม่น่าจะโตได้เฉลี่ยปีละ 50% ตามเป้าหมาย ทำให้ราคาหุ้นของ Tesla มีแนวโน้มที่ลดลงตามไปด้วย เพราะการคาดการณ์นี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หุ้นของ Tesla มีราคาแพงจน Tesla กลายเป็นบริษัทรถที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก แม้ไม่ได้เป็นบริษัทรถที่ผลิตรถได้มากที่สุด หรือมีรายได้และกำไรสูงสุด
ในวันนี้ Tesla ได้เปิดเผยแล้วว่าบริษัทจะสามารถเริ่มผลิตรถรุ่นใหม่ได้ภายในครึ่งปีหลังของปี 2025 ดังนั้น นักลงทุนและผู้ที่กำลังจะลงทุนในหุ้นของ Tesla ก็คงต้องมาติดตามกันต่อไปว่า Tesla จะสามารถออกสินค้าหรือนวัตกรรมอะไรมาดึงผู้บริโภคและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของตัวเองได้บ้าง เพราะในปัจจุบันมีคู่แข่งมากมาย โดยเฉพาะ BYD ที่พร้อมจะเข้ามาโค่นบัลลังก์ของ Tesla ในฐานะเจ้าตลาดรถ BEV ทั้งด้วยคุณภาพสินค้าและช่วงราคาที่น่าดึงดูดใจมากกว่า