Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
Microsoft เลย์ออฟพนักงาน 6,000 คนทั่วโลกแม้กำไรดี เน้นลดคนไปลง AI
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

Microsoft เลย์ออฟพนักงาน 6,000 คนทั่วโลกแม้กำไรดี เน้นลดคนไปลง AI

14 พ.ค. 68
15:04 น.
แชร์

ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ประกาศปลดพนักงานรอบใหม่ในปี 2025 โดยจะลดจำนวนพนักงานทั่วโลกราว 6,000 คน หรือคิดเป็น 3% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด แม้ว่าบริษัทจะเพิ่งรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด (สิ้นสุดเดือนมีนาคม) ว่ามียอดขายและกำไรที่แข็งแกร่งเกินคาด โดยมีกำไรสุทธิ 2.58 หมื่นล้านดอลลาร์ และได้ให้แนวโน้มผลประกอบการในเชิงบวกเมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา

แม้โดยทั่วไปจะเชื่อกันว่าการปลดพนักงานเป็นสัญญาณของปัญหาทางธุรกิจ แต่ในความเป็นจริง การลดจำนวนพนักงานสามารถเกิดขึ้นได้แม้ในช่วงที่บริษัทมีผลประกอบการแข็งแกร่ง กรณีของไมโครซอฟท์ในครั้งนี้สะท้อนชัดว่า "ความสำเร็จ" ขององค์กรไม่ได้รับประกัน "ความมั่นคง" ของบุคลากร การเลิกจ้างสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งหลังการควบรวมกิจการ หรือแม้ในปีที่บริษัททำกำไรสูงสุด และแม้แต่ผลงานส่วนบุคคลที่โดดเด่น ก็ไม่อาจปกป้องพนักงานจากความเสี่ยงนี้ได้อย่างแท้จริง

สำหรับการปลดพนักงานครั้งล่าสุด ไมโครซอฟท์ไม่ได้ชี้แจงเหตุผลอย่างเป็นทางการ ทว่าการลงทุนอย่างเร่งรัดในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถูกมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการปรับโครงสร้างภายในครั้งนี้

ไมโครซอฟท์ปลดพนักงาน 6,000 คน เพื่อ ‘ปรับโครงสร้าง’

ณ เดือนมิถุนายนปี 2567 ไมโครซอฟท์มีพนักงานทั่วโลกอยู่ราว 228,000 คน โดยกว่า 55% ของพนักงานทั้งหมดอยู่ในสหรัฐฯ ทำให้การปลดพนักงานครั้งนี้ถือเป็นการปรับลดที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท นับตั้งแต่การเลิกจ้าง 10,000 ตำแหน่งในปี 2023

ก่อนหน้านี้ในเดือนมกราคม ไมโครซอฟท์เคยประกาศเลิกจ้างพนักงานเป็นวงจำกัด โดยพิจารณาจากผลการทำงานเป็นหลัก แต่สำหรับรอบล่าสุดนี้ บริษัทชี้แจงชัดเจนว่าการปลดพนักงาน "ไม่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพการทำงาน" ของแต่ละบุคคล

ในทางกลับกัน แผนปรับโครงสร้างในปี 2025 มีเป้าหมายเพื่อ ‘ลดความซับซ้อนภายในองค์กร’ โดยเฉพาะการตัดชั้นการบริหารที่ไม่จำเป็น คล้ายกับแนวทางของ Amazon ที่เมื่อต้นปีนี้ก็ประกาศเลิกจ้างพนักงานบางส่วนด้วยเหตุผลเดียวกัน

ในครั้งนี้ ไมโครซอฟท์ปลดพนักงานประมาณ 6,000 คน หรือประมาณ 3% ของกำลังแรงงานทั่วโลก โดยบางส่วนของกระบวนการเลิกจ้างได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในสหรัฐฯ เช่นในรัฐวอชิงตันที่บริษัทได้แจ้งต่อทางการรัฐว่ากำลังปลดพนักงาน 1,985 คนจากสำนักงานใหญ่ในเมืองเรดมอนด์ โดยตำแหน่งที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในสายงานวิศวกรรมซอฟต์แวร์และการบริหารผลิตภัณฑ์ ตามรายงานของ AP News

จากรายงาน การปลดพนักงานจะกระจายไปในหลายแผนกและหลายภูมิภาค แต่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือพนักงานระดับผู้จัดการ รายงานระบุว่าธุรกิจสำคัญของไมโครซอฟท์ เช่น LinkedIn, Azure, GitHub และ Xbox จะได้รับผลกระทบจากการลดคนในครั้งนี้ แม้ว่าบริษัทจะยังไม่เปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการแยกรายหน่วยธุรกิจ

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมเกมเองก็เผชิญแรงกดดันอย่างหนัก โดยเฉพาะ EA ที่ต้องลดจำนวนพนักงานลงอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้ การที่ Xbox เพิ่งประกาศขึ้นราคาคอนโซลเนื่องจากต้นทุนจากภาษีนำเข้า ยิ่งตอกย้ำความจำเป็นในการปรับโครงสร้างบุคลากร ด้าน LinkedIn ซึ่งกำลังลงทุนอย่างต่อเนื่องในเทคโนโลยี AI ก็มีการปรับตัวครั้งใหญ่เช่นกัน ทำให้การปลดพนักงานกลายเป็นผลลัพธ์ตามธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงทิศทางธุรกิจ

ไมโครซอฟท์เดิมพันอนาคตกับการลงทุนด้าน AI

โครงสร้างองค์กรใหม่ของไมโครซอฟท์ในปี 2025 เชื่อมโยงโดยตรงกับเป้าหมายการเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจ AI โดยบริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุนใน AI สูงถึง 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีงบประมาณ 2025 ซึ่งเมื่อมีการลงทุนในระดับมหาศาลเช่นนี้ การปลดพนักงานจึงดูเหมือนจะเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้

นักวิเคราะห์ Gil Luria ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Reuters ว่า หากไมโครซอฟท์ยังลงทุนต่อเนื่องในระดับนี้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า บริษัทอาจต้องปลดพนักงานอีกถึง 10,000 คน เพื่อชดเชยต้นทุนค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในสินทรัพย์ทุน นั่นหมายความว่า การปลดพนักงานของไมโครซอฟท์ในปีนี้อาจยังไม่จบเพียงเท่านี้

ก่อนหน้านี้ CEO สัตยา นาเดลลา เคยกล่าวถึงอนาคตของไมโครซอฟท์ว่า บริษัทจะเปลี่ยนตัวเองเป็น "โรงงานกลั่นข้อมูล" ที่สามารถนำโมเดล AI ขนาดใหญ่มาแยกย่อยเป็นเครื่องมือเฉพาะทางสำหรับงานแต่ละประเภท และเปิดเผยว่าปัจจุบัน AI มีส่วนร่วมในการเขียนโค้ดของบริษัทแล้วกว่า 30% ไมโครซอฟท์ได้ผลักดันการผนวกฟังก์ชัน AI Copilot เข้ากับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และแนวโน้มการใช้ AI จะยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นต่อไป

การเปลี่ยนแปลงนี้ยังนำไปสู่การใช้ AI อย่างเด่นชัดในศูนย์บริการลูกค้าของไมโครซอฟท์ และมีแนวโน้มว่าพนักงานในแผนกอื่น ๆ จะต้องทำงานควบคู่กับ AI แทนการร่วมงานกับเพื่อนร่วมงานมนุษย์ในอนาคตอันใกล้

พนักงานทุกอุตสาหกรรมเริ่มรับรู้แรงกระเพื่อมจากนโยบาย “AI-First”

ท่ามกลางการรุกคืบของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในที่ทำงาน พนักงานในหลายอุตสาหกรรมเริ่มแสดงความวิตกกังวลมากขึ้น เพราะในปัจจุบัน การมีผลงานที่ดีอาจไม่เพียงพออีกต่อไป การเลิกจ้างสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยไม่จำเป็นต้องสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการทำงานเหมือนที่ผ่านมา

ตั้งแต่ Google ถึง Intel หลายองค์กรชั้นนำต่างเร่งเดินหน้ายุทธศาสตร์ "AI-First" ด้วยการทุ่มลงทุนมหาศาลในเทคโนโลยีนี้ และกระบวนการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวได้ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อการจ้างงาน ตัวอย่างเช่น IBM ซึ่งเลือกที่จะลดจำนวนพนักงานฝ่ายทรัพยากรบุคคลลงอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อนำ AI เข้ามาทดแทนบทบาทเดิม

แม้ว่าการทำงานร่วมกับ AI จะเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ในอีกด้านหนึ่ง พนักงานจำนวนมากกลับรู้สึกหวาดระแวง เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มาพร้อมกับความเสี่ยงสูง แม้หลายคนจะตื่นตัวและพร้อมเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ทว่าความรู้สึกนั้นก็ถูกกลบด้วยความไม่แน่นอน เมื่อเห็นว่าการปรับตัวอาจแลกมาด้วยตำแหน่งงานของตัวเอง

กรณีของไมโครซอฟท์ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกดังกล่าว เมื่อบริษัทตัดสินใจลดจำนวนพนักงาน เพื่อโยกย้ายงบประมาณไปสู่การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ความเชื่อเดิมที่ว่าผลงานดีจะนำมาซึ่งความมั่นคงเริ่มสั่นคลอน แม้บริษัทจะเคยประกาศใช้นโยบายประเมินผลการทำงานอย่างเข้มงวด แต่บรรยากาศการทำงานในปัจจุบันกลับเต็มไปด้วยความย้อนแย้ง และไม่ได้เอื้อต่อการพัฒนาประสิทธิภาพตามเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ในปี 2025 อย่างที่เคยวางแผนไว้

ตัวอย่างเช่น กรณีของ Duolingo ที่พยายามเปลี่ยนการจ้างแรงงานภายนอกมาใช้ AI แทน แม้จะโฆษณาในเชิงบวก แต่ผู้ใช้งานจำนวนมากกลับรู้สึกไม่พอใจและทยอยเลิกใช้บริการ แสดงให้เห็นว่าการเร่งพัฒนา AI อาจเป็นชัยชนะสำหรับเจ้าของกิจการ แต่ไม่ใช่สำหรับผู้มีส่วนได้เสียรายอื่น


อ้างอิง: CNBC, The HR Digest

แชร์
Microsoft เลย์ออฟพนักงาน 6,000 คนทั่วโลกแม้กำไรดี เน้นลดคนไปลง AI