พาไปดูการฉลองวันคริสต์มาส ที่แต่ละประเทศมีไม่เหมือนกันนะ

วนมาถึงช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ช่วงเวลาที่ไม่ว่าคุณจะเป็นคนเชื้อชาติอะไรนับ ถือศาสนาไหนก็ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและความสุข ซึ่งถ้าหากพูดถึงเทศกาลอันโด่งดังที่คนทั่วโลกต้องรู้จักคงหนีไม่พ้นวันคริสต์มาส และเป็นเทศกาลที่จัดขึ้นทั่วโลกไม่ใช่แค่ในสหรัฐอเมริกา แต่ในแต่ละประเทศที่จัดเทศกาลนี้จะมีความแตกต่างกัน โดยจะผสมความเชื่อพื้นเมืองลงไปด้วย ทำให้เกิดเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศ วันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปดูว่าเทศกาลคริสต์มาสของแต่ละประเทศว่าจะน่าสนใจและแปลกขนาดไหนกัน

คอนเทนต์แนะนำ

อดีตโปรโมเตอร์ลาโลก วิดีโอคอลหาเมียก่อนผูกคอดับหนีหนี้ สลดช่วยไม่ทัน

ดร.ธนกฤต ลงพื้นที่เหตุเพลิงไหม้ ใช้เครื่องVOCพบสารพิษเกินค่ามาตรฐาน

รวบแก๊งค้ามนุษย์ ลวงเยาวชน ไปทำงานตปท.เหยื่อแก๊งคอลฯ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นโยบาย ODOS Summer Camp สุดเวิร์ค ยอดสนใจทะลุแสน

หนุ่มตกใจ! คนทักขอซื้อลูกงูเห่า จะเอาไปเซอร์ไพรส์วันเกิดแฟน

สหรัฐฯ ถอดค่าหัวผู้นำฮักคานี-สมาชิกตาลีบัน สร้างความเชื่อใจอัฟกานิสถาน

1. ไอซ์แลนด์ : ผู้คนจะมอบของขวัญให้คนในครอบครัวเป็นเสื้อผ้าที่ความอบอุ่น เพราะมีตำนานเล่าว่ามีแมวยักษ์คริสต์มาสผู้น่ากลัว จะมาเขมือบใครก็ตามที่ไม่เตรียมพร้อมสำหรับอากาศหนาว ผู้คนจึงทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครตกเป็นเหยื่อของเจ้าแมวยักษ์ตัวนี้
2. เยอรมันนี : จะมีตลาดคริสต์มาสเปิดขึ้นในจัตุรัสของแทบทุกเมือง ให้ผู้คนได้ฟังดนตรีจากวงเครื่องเป่าทองเหลือง หรือจะอิ่มอร่อยกับอาหารประจำภูมิภาคก็ดี โดยจะมีขนมประจำวันอย่างขนมปังขิงรูปหัวใจให้รับประทาน และยังมีอัลมอนล์อบน้ำตาล กับขนมหวานทุกประเภท ซึ่งแม้เยอรมันนีจะขึ้นชื่อเรื่องการดื่มเบียร์แต่ในวันพิเศษแบบนี้ พวกเขาจึงเลือกที่จะดื่มดื่มไวน์เครื่องเทศที่เรียกว่า Glühwein หรือน้ำแอปเปิลแสนอร่อยสำหรับเด็กๆ
3. รัสเซีย : เด็กชาวรัสเซียจะตกแต่งต้นไม้ เพื่อเฝ้ารอ Grandfather Frost ซึ่งตามความเชื่อเป็นชายวัยสูงอายุมีเครายาวสีขาวคล้ายซานต้าคลอสแต่ใส่ชุดสีน้ำเงิน ที่เดินทางมาพร้อมกับ Snowmaiden ผู้เป็นหลานสาว เพื่อแจกของขวัญให้กับผู้คนทั่วทั้งเมือง ซึ่งทั้ง 2 อาศัยอยู่ในป่าลึกในที่ชื่อ Veliky Ustyug ทางตอนเหนือของรัสเซีย
4. กรีซ : แทนที่จะเป็นการรอต้อนรับซานต้า แต่ที่นี่มีความเชื่อว่าเหล่าสิ่งมีชีวิตจอมป่วนอย่าง Kallikántzari ซึ่งอาศัยอยู่ใจกลางแกนโลก จะขึ้นมาซ่อนตัวในบ้านคนในวันคริสต์มา เพื่อแกล้งพวกเขาให้ตกใจหรือกินอาหารสำหรับคริสต์มาสจนเกลี้ยง ชาวกรีกจึงทำพิธีเพื่อป้องกันตัววุ่นวายเหล่านี้ให้อยู่ห่างๆ เพื่อให้พวกเขาเฉลิมฉลองได้อย่างราบรื่น
5. ญี่ปุ่น : ทีนี้ลองมาดูฝั่งเอเชียใกล้บ้านเรากันบ้าง โดยแม้ที่ญี่ปุ่นจะไม่ถือว่านี่เป็นการเฉลิมฉลองทางศาสนา แต่เป็นการเฉลิมฉลองที่มีความสุข ซึ่งในวันคริสต์มาสอีฟจะมีการฉลองมากกว่าวันคริสต์มาสเสียอีก เพราะถือว่าวันนี้เป็นวันที่โรแมนติก และคู่รักจะนัดเจอกันเพื่อแลกของขวัญ
6. เกาหลีใต้ : วันคริสต์มาสถือเป็นวันหยุดประจำชาติ และยังเป็นวันหยุดแสนโรแมนติกของคู่รักคล้ายกับญี่ปุ่น คู่รักจะพากันออกเดทในเมืองที่ท้องถนน และร้านอาหาร ร้านค้าต่างๆ จะถูกประดับประดาไปด้วยไฟต่างๆ
7. ฟิลิปปินส์ :ประเทศนี้ได้ชื่อว่าจัดเทศกาลคริสต์มาสนานที่สุดในโลก ซึ่งจะจัดเป็นเวลาถึง 4 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนธันวาคมกันเลยทีเดียว โดยชาวเมืองจะเปิดเพลงคริสต์มาสกันตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน
8. นิวซีแลนด์ : ถือได้ว่าแปลกตาที่สุดในโลก เพราะเดือนธันวาคมของที่นี่ตรงกับหน้าร้อนด้วยตำแหน่งที่ตั้งทางซีกโลกใต้ ดังนั้นแทนที่จะได้สัมผัสอากาศหนาวกับหิมะขาวโพลน จิบเครื่องดื่มร้อนๆข้างเตาผิง แต่คุณจะได้เห็นชาวเมืองเฉลิมฉลองวันหยุดกันที่ชายหาด เล่นกีฬา ทำบาร์บีคิว และทานมื้อกลางวันกลางแจ้งแทน