
วันที่ 5 พ.ย. 68 สำนักข่าว เอเอฟพี รายงานว่า เมื่อวันอังคารที่ 4 พ.ย. ที่ผ่านมา หมู่บ้านบนเกาะเซบูของฟิลิปปินส์ถูกน้ำท่วม เนื่องจาก พายุไต้ฝุ่นคัลแมกี ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 40 ราย และผู้พลัดถิ่นหลายแสนคน
พร้อมปรากฎภาพรถยนต์ รถบรรทุก และตู้คอนเทนเนอร์ถูกน้ำพัดหายไป
ไอน์เจลิซ โอรง เจ้าหน้าที่ประจำจังหวัดที่รับผิดชอบข้อมูล กล่าวว่า ในจังหวัดเซบูเพียงจังหวัดเดียว มีผู้เสียชีวิต 39 รายในภาคกลางของฟิลิปปินส์
จำนวนนี้ไม่รวมผู้เสียชีวิตในเมืองเซบู ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัด ซึ่งนับแยกกัน
มีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 5 รายในจังหวัดอื่นๆ รวมถึงชายชราที่จมน้ำเสียชีวิตที่ชั้นบนของบ้านในจังหวัดเลเต และชายคนหนึ่งที่เสียชีวิตหลังจากถูกต้นไม้ล้มทับที่โบโฮล
ในช่วง 24 ชั่วโมงก่อนที่ พายุไต้ฝุ่นคัลแมกีจะมาถึง พื้นที่รอบเมืองเซบูบันทึกปริมาณน้ำฝนได้ 183 มิลลิเมตร ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยรายเดือนที่ 131 มิลลิเมตร ชาร์มาญ วาริลลา นักอุตุนิยมวิทยา กล่าวกับ AFP
“สถานการณ์ในเซบูไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” พาเมลา บาริกัวโตร ผู้ว่าราชการจังหวัดกล่าวบนเฟซบุ๊ก
“เราคาดว่าลมจะเป็นอันตราย แต่น้ำต่างหากที่ทำให้ประชากรของเราตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างแท้จริง น้ำกำลังทำลายล้าง” เธอกล่าวเสริม
ดอน เดล โรซาริโอ วัย 28 ปี เป็นหนึ่งในผู้อยู่อาศัยที่หลบภัยบนหลังคาบ้านเรือนและส่วนสูงของบ้านในเมืองเซบูระหว่างเกิดพายุ กล่าวว่า “ระดับน้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากที่ผมทราบมา น้ำท่วมเริ่มประมาณตี 3 พอถึงตี 4 ก็เริ่มควบคุมไม่ได้แล้ว ผู้คนไม่สามารถออกจากบ้านได้”
ด้าน ราฟาเอลิโต อเลฮานโดร รองผู้อำนวยการฝ่ายป้องกันพลเรือนรายงานว่า มีผู้อพยพออกจากเส้นทางพายุไต้ฝุ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เกือบ 400,000 คน
ฟิลิปปินส์เผชิญกับพายุและไต้ฝุ่นเฉลี่ยปีละ 20 ลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เสี่ยงภัย ซึ่งมีประชากรหลายล้านคนอาศัยอยู่ในความยากจน
นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าพายุกำลังเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และมีความรุนแรงมากขึ้น อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์
ที่มาข้อมูล/ภาพ : AFP
Advertisement