(3 ต.ค. 2568) นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยม พร้อมมอบนโยบายแก่ผู้บริหารสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) โดยมีนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สทนช. พร้อมด้วยนางพัชรวีร์ สุวรรณิก รองเลขาธิการ สทนช. นายไวฑิต โอชวิช ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์น้ำ รักษาราชการแทนรองเลขาธิการ สทนช. และผู้บริหารจากหน่วยงานในสังกัด สทนช. เข้าร่วม ณ อาคารจุฑามาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
โดย นายภราดร เปิดเผยว่า ในวันนี้ได้มอบนโยบายแก่ผู้บริหาร สทนช. ในการบูรณาการกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบ รวมถึงหารือเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำปัจจุบัน เพื่อหาแนวทางในการเร่งคลี่คลายอุทกภัยให้กลับสู่ภาวะปกติ เนื่องจากแม้พายุ "บัวลอย" จะสลายตัวไปแล้ว แต่ในหลายพื้นที่ยังคงได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้เขื่อนขนาดใหญ่ของภาคเหนือ ทั้งเขื่อนสิริกิติ์และเขื่อนภูมิพล มีปริมาณน้ำมากถึงร้อยละ 80 - 90 ของความจุเก็บกัก จึงต้องพร่องน้ำในระยะนี้ที่มีฝนตกน้อยลง เพื่อป้องกันน้ำล้นเขื่อนที่อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันเขื่อนเจ้าพระยาที่มีมวลน้ำเหนือเขื่อนเป็นจำนวนมาก แม้ สทนช. จะขออนุญาตคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ปรับกรอบอัตราการระบายน้ำเพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน 2,700 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที เพื่อให้มีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการน้ำมากยิ่งขึ้น แต่ด้วยรัฐบาลตระหนักถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ท้ายเขื่อนเป็นอย่างยิ่ง จึงได้กำชับให้บริหารจัดการเพื่อควบคุมอัตราการระบายน้ำอย่างเต็มที่
โดยในวันนี้มีการระบายน้ำที่ 2,500 ลบ.ม. ต่อวินาที พร้อมทั้งระบายน้ำส่วนเกินไปยังฝั่งตะวันออกและตะวันตกของเขื่อนอย่างสมดุลกัน รวมถึงบริหารจัดการน้ำในทุ่งลุ่มต่ำต่างๆ อย่างรอบคอบ พร้อมกันนี้ สทนช. จะหารือร่วมกับกรมชลประทานในเรื่องหลักเกณฑ์การขออนุญาตการระบายน้ำ เพื่อวางแนวทางการดำเนินงานให้เหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป
ในส่วนของการแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านระบบ Cell Broadcast ได้มอบหมายให้ สทนช. ประสานงานร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยเน้นย้ำว่าจะต้องแก้ไขปัญหาความล่าช้าเพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมากในการแก้ไขปัญหาระยะยาว เพื่อช่วยเหลือพื้นที่ประสบปัญหาอุทกภัยซ้ำซาก โดยหน่วยงานได้รับนโยบายจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เพื่อหาแนวทางในการเร่งรัดแผนงานและโครงการสำคัญต่างๆ ให้แล้วเสร็จ อาทิ โครงการคลองระบายน้ำหลาก บางบาล - บางไทร และโครงการคลองระบายน้ำหลาก ป่าสัก - อ่าวไทย ซึ่งจะช่วยบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยา
สำหรับความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำในเขตกรุงเทพมหานคร ว่าอาจเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยปี 2554 นั้น แม้ช่วงเวลานี้จะมีปริมาณน้ำจำนวนมาก แต่ยังน้อยกว่าปี 2554 และมีการบริหารจัดการอย่างเต็มศักยภาพเพื่อป้องกันไม่ให้อุทกภัยขยายวงกว้างมากขึ้น ถึงแม้จะมีปัจจัยจากน้ำทะเลหนุนในบางช่วง แต่ได้มีการเตรียมพร้อมเร่งระบายน้ำไว้อย่างเต็มที่แล้ว รวมถึงเตรียมให้ความช่วยเหลือพื้นที่นอกคันกั้นน้ำต่างๆ ที่อาจได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ ขอให้มั่นใจได้ว่าความรุนแรงจะไม่เท่าเมื่อปี 2554 อย่างแน่นอน
ด้าน เลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ สทนช. จะดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วน ได้แก่ 1. ระบบสารสนเทศด้านทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ เพื่อการแจ้งเตือนภัย เพื่อจัดทำระบบเตือนภัยน้ำท่วมอย่างมีประสิทธิภาพ และ 2. การจัดหาน้ำประปาเพื่อการอุปโภคบริโภค เพื่อป้องกันปัญหาขาดแคลนน้ำให้ประชาชนอย่างทั่วถึงทุกครัวเรือน โดยมีเป้าหมายในการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ รวมถึงป้องกันและบรรเทาความเสียหายจากภัยด้านน้ำให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืน
Advertisement