(19 ส.ค. 2568) เวลา 19.30 น. "หลวงพ่ออลงกต" ได้ออกมาเปิดใจกับสื่อ หลังตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ โดยหลวงพ่อยอมรับว่าทราบเรื่องที่ทาง นายสุชาติ และหน่วยงานของจังหวัดที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่จะเข้ามายังวัด ซึ่งส่วนตัวไม่ได้ติดใจอะไรเพราะถือว่าเป็นการมาเอาข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง เพื่อสร้างความกระจ่างให้กับสังคม ซึ่งเจ้าหน้าที่ของทางวัดก็สามารถให้คำตอบได้อยู่แล้ว
ส่วนหลวงพ่อเองก็ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส ซึ่งทางเจ้าคณะจังหวัดได้ทราบและอนุมัติ โดยเป็นเหตุผลส่วนตัว เพราะอยากให้ทุกภาคส่วนได้มีการขับเคลื่อนเรื่องการตรวจสอบและการดูแลและการให้ข้อแนะนำต่างๆ เพราะวัดพระบาทน้ำพุมีหลายมูลนิธิ
เท่าที่ทราบก็จะเริ่มมีการตรวจสอบอย่างละเอียด รวมถึงการลงพื้นที่ในทุกมูลนิธิ ตนก็เลยตัดสินใจขอลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสเพื่อให้ทุกคนสบายใจและสะดวกใจที่จะเข้ามาตรวจสอบจาก หน่วยงานทุกภาคส่วน จะได้ไม่ต้องเกรงใจบารมีของตน
ส่วนผลของการตรวจสอบ ทราบว่าได้มีการวางกรอบเอาไว้ในหลายประเด็น บางประเด็นอาจใช้เวลา 10 วันถึง 1 เดือน ดังนั้นหากตรวจสอบแล้วเมื่อพบการบกพร่อง ก็ขอให้แนะนำ เพราะทางวัดก็ยินดีที่จะแก้ไข แล้วตนก็ยินดี หากมีเจ้าอาวาสรูปใหม่มาปฎิบัติหน้าที่แทน แต่ตัวเองก็จะทำงานที่ทำอยู่เหมือนเดิม เพราะตนก็รู้ว่าวัดที่ดีตามสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ควรเป็นอย่างไร
พร้อมกับยืนยันว่าหลังจากนี้ทุกอย่างก็จะชัดเจนขึ้น มีการเก็บข้อมูลของการทำบุญเพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบทุกรายการ ดังนั้นจึงอยากขอให้เห็นใจและเข้าใจหลวงพ่อ ว่าหลวงพ่อก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งและมักจะไม่พูดอะไรมาก
และอยากให้มองว่าเหตุการณ์ในแต่ละวันมีนักข่าวนับร้อยคนติดตามทุกวัน คอยเฝ้าตรงนู้นตรงนี้ บางทีก็บานปลายไปสู่คนอื่น ก็เลยเป็นเรื่องที่ลำบากใจ จะให้มานั่งตอบทุกคำถามซึ่งบางคำถาม ถามมาแล้ว 10-20 ครั้ง จะให้ตนตอบคำถามเดิมๆ ก็ลำบากใจ ดังนั้นอะไรที่ยังไม่เคยตอบ ก็จะยินดีที่จะตอบและยินดีให้ข้อมูลกับสื่อ
แต่ขณะเดียวกัน สื่อก็ทำให้หลวงพ่อลำบากใจเพราะพูดอย่างหนึ่งก็เอาไปนำเสนออีกแบบนึง ตอนถามดูเหมือนดี แต่ตอนเอาไปออกอากาศก็เอาไปตัดตอน เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้ทุกคนรู้สึกได้ ว่าสื่อบางสื่อไม่มีความเป็นธรรมในการนำเสนอข่าว
ส่วนข่าวเรื่องที่บอกว่าล่องหนหรือหายตัวไปต่างประเทศ หรือขึ้นเครื่องไปประเทศดูไบ หลวงพ่อยอมรับว่าอ่านแล้วก็รู้สึกขำ จึงยืนยันว่าไม่เป็นความจริงและยังมั่นคงหนักแน่น เพราะตนอยู่กับเรื่องนี้มานานมาก ทั้งกระแสบวกและลบ แต่ก็ไม่เคยว่าอะไรใคร ไม่เคยด่าใคร ไม่เคยเกรี้ยวกราดหรือตัดสินใคร เพราะมีกฎของตัวเอง
เชื่อว่าชาวบ้านรักตนเป็นส่วนใหญ่ เพราะความใจดี มีแต่ให้ ใครขออะไรก็ให้ เป็นผู้ให้มาโดยตลอด ดังนั้นกับกระแสข่าวการหายตัว ตนไม่โกรธ เพราะรู้สึกว่ารังแกตนไม่เป็นไร ยินดีให้อภัย แม้จะเจ็บปวดแค่ไหนก็ทนได้ เพราะสิ่งที่ตนเจอเมื่อ 30 ปีก่อนมันหนักกว่านี้
ส่วนเรื่องการตั้งข้อสงสัยเรื่องส่วนตัวหลวงพ่อ เจ้าตัวยอมรับว่าไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีการโยงกันได้ถึงขนาดนั้น ที่ผ่านมาพยายามอดทนอดกลั้นและเก็บไว้สอนใจ แต่ถ้าให้ตนเดาก็เชื่อว่าคงมีใครบางคนอยากจัดการตน วันนี้จึงอยากขอฝากอย่างหนึ่ง คือ "ถ้าหลวงพ่อเป็นอะไรไป อะไรจะเกิดขึ้นถ้าหลวงพ่อล้ม แต่ ณ วันนี้หลวงพ่อยังยืนอยู่ยังไม่ล้ม แต่ถ้าหลวงพ่อล้มไปมันจะกระทบไปอย่างไร ทำกับหลวงพ่อ หลวงพ่อทนได้ แต่ทำไมต้องทำกับผู้บริสุทธิ์ ทำไมต้องทำให้คนป่วยร้องไห้ ทั้งคนชราและเด็ก ก็มองว่ามันเกินเลยไป"
เพราะสิ่งที่ตามมา หลวงพ่อไม่ได้ไปบิณฑบาต ไม่มีกิจนิมนต์ จากเดิมทีเคยมีงานปีละนับพันงาน แต่วันนี้มันหายไป เนื่องจากศรัทธาถูกทำลายอย่างย่อยยับ จนทำให้ไม่มีคนมาทำบุญ ก็เลยทำให้รู้สึกทุกข์ใจที่ไม่สามารถหาข้าวปลามาหาเลี้ยงดูผู้ป่วยทุกคน ทำให้ต้องคิดหนักมาก
อย่างวันนี้ไม่มีเงินสักบาท เมื่อวานได้ปัจจัยจากการทำบุญ 200 บาท มันเหมือนถูกมรสุมพัดพา ในขณะที่วัดมีค่าใช้จ่ายวันนึงไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท ตอนนี้ก็พยามมีความอดทน ความพยายามและตั้งมั่นต่อความเมตตา ทำทุกอย่างเพื่อให้คนเหล่านี้มีชีวิตอยู่และมีข้าวกิน มียารักษา
เรื่องของผลกระทบที่ส่งไปถึงผู้ป่วย หลวงพ่อบอกว่าจริงๆ อยากให้ฟังจากปากของผู้ป่วย ว่าถ้าไม่มีหลวงพ่อจะเป็นยังไง เพราะที่ผ่านมาพวกเขาที่อยู่ที่นี่ไม่เคยอดอยาก เพราะหลวงพ่อไม่เคยทอดทิ้ง แต่อย่างไรก็ตามหลวงพ่อยืนยันว่าจะไม่ทอดทิ้ง เพราะตอนนี้ก็พยายามคิดทุกวันว่าจะทำยังไง เพื่อให้สามารถดูแลพวกเขาต่อได้
วันนี้จึงขอความเห็นใจและความเข้าใจ อย่างน้อยก็ควรจะเห็นแก่กำลังใจของผู้ป่วย ตอนนี้บางคนร้องไห้ กินไม่ได้นอนไม่หลับ บางคนบอกว่าเป็นโรคซึมเศร้า เพราะเป็นห่วงหลวงพ่อ อีกอย่างคือ พวกเขาเหล่านี้อาจจะไม่ได้มีบ้านให้สามารถกลับไปอยู่ได้ เพราะบางคนไม่มีบ้านและไม่รู้เลยว่าใครจะดูแลเขาต่อได้ ดังนั้นหลวงพ่อก็ขอยืนยันว่า "หลวงพ่อยังสู้ ยังอยู่ตรงนี้"
ส่วนเรื่องจำนวนของผู้ป่วย หลวงพ่ออธิบายว่า ตนดูแล ทั้งผู้ป่วย เด็กนักเรียนและผู้ติดเชื้อ หมายถึงคนชรารวมแล้วเกือบ 2,000 คน ทั้งที่อยู่ในวัดพระบาทน้ำพุและเด็กที่อยู่ในโรงเรียนของมูลนิธิ ชุมชน ให้ข้าวปลาและทุนการศึกษาทุกเดือน และประชาชนที่อยู่นอกวัด นอกจากจะดูแลผู้ป่วยแล้ว ก็จะมีการแจกข้าวสารอาหารแห้งให้กับชาวบ้านข้างนอก เพราะบางคนจะอดตายกับเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในวันนี้
ดังนั้นวันนี้เมื่อไม่ได้ออกบิณฑบาต ไม่ได้ทำบุญ ก็ไม่มีของให้แจก ก็ต้องงดแจกของ เพราะของเหล่านั้นได้จากความศรัทธาและความเมตตาของประชาชน และยังมีหมา แมว ลิง อีกนับพันตัว
ต่อมาเวลา 20.10 น. หลังจาก หลวงพ่ออลงกต ให้สัมภาษณ์เสร็จ ก็เดินทางกลับไปยังกุฎิเจ้าอาวาส เพื่อเก็บของใช้ส่วนตัวหลังลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เพื่อที่พรุ่งนี้จะย้ายไปนอนที่กุฏิของพระลูกวัดตามหลักปฏิบัติที่ถูกต้อง
Advertisement