ความเห็นนักกฎหมาย การปฏิเสธตรวจเลือดหาสารเสพติด โดยอ้างสิทธิผู้ป่วย ไม่ขอเปิดเผยข้อมูลการรักษา ทำได้หรือไม่? กรณีไหนบ้างปฏิเสธไม่ได้
ในยุคที่สิทธิมนุษยชนและสิทธิผู้ป่วยเป็นประเด็นสำคัญในสังคมไทย คำถามหนึ่งที่เกิดขึ้นบ่อยคือ "ถ้าถูกเรียกตรวจเลือดหาสารเสพติด แล้วอ้างสิทธิผู้ป่วย ไม่ขอเปิดเผยข้อมูล — เราปฏิเสธได้หรือไม่?"
คำตอบของคำถามนี้ ไม่ใช่ใช่หรือไม่อย่างเด็ดขาด แต่ต้องพิจารณาจาก "บริบท" และ "กฎหมายที่ใช้ในสถานการณ์นั้น" อย่างรอบด้าน
ในภาวะปกติ ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะปฏิเสธการตรวจเลือดหรือการเปิดเผยข้อมูลทางการแพทย์ของตนเองได้ ตาม พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 7 ระบุว่า
"บุคคลย่อมมีสิทธิในการรักษาความลับเกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง และข้อมูลส่วนบุคคลทางการแพทย์จะถูกเปิดเผยไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากเจ้าตัว หรือมีกฎหมายบัญญัติให้ทำได้"
แปลว่า หากคุณเป็นผู้ป่วยทั่วไปที่ไปพบแพทย์หรือเข้ารับบริการตรวจสุขภาพ คุณสามารถปฏิเสธการตรวจสารเสพติดได้ โดยไม่มีความผิด
แต่ถ้ากรณีที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายโดยตรง เช่น การถูกควบคุมตัว / ตรวจค้น / ตั้งข้อหาในคดีเกี่ยวกับยาเสพติด การปฏิเสธตรวจเลือด ไม่ใช่สิทธิอีกต่อไป
ตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2564) มาตรา 14/1 ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ในการสั่งให้บุคคลซึ่งมีเหตุอันควรสงสัยว่าเสพยาเสพติด
"ต้องเข้ารับการตรวจปัสสาวะ เลือด หรือวิธีการอื่นเพื่อพิสูจน์การเสพ" และหากผู้นั้น "ไม่ยินยอม" โดยไม่มีเหตุอันสมควร — เจ้าหน้าที่สามารถใช้คำสั่งบังคับได้
ถ้าปฏิเสธโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรืออ้างสิทธิผู้ป่วยโดยไม่เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่มี อำนาจตามกฎหมาย อาจเข้าข่าย
• ขัดขืนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
• ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน (มีโทษจำคุกหรือปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138)
ระบุว่า "เคสนี้ ไม่ใช่กรณีที่ว่า เป็นคนดังแล้วจะมีอภิสิทธิ์ชนในการปฏิเสธการตรวจเลือดหาสารเสพติดได้ แต่ในคดีอาญาที่มีโทษจำคุกอย่างสูงเกิน 3 ปี ประชาชนทุกคนมีสิทธิในการปฏิเสธการตรวจเลือด เนื้อเยือ ผิวหนัง สารคัดหลั่ง เส้นผม ได้
แต่!!! ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 131/1 ประกอบ 244/1 บัญญัติว่า หากผู้ต้องหาปฏิเสธการตรวจ ผลคือให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า คุณมีสารเสพติด/แอลกอฮอล์อยู่ในกระแสเลือดเว้นแต่มีเหตุอันสมควรว่าทำไมคุณถึงไม่ยินยอมให้ตรวจ เช่น ตรวจน้ำลายได้แต่เจ้าพนักงานจะให้ตรวจเลือดหรือเนื้อเยื่อ หรือการตรวจนั้นอาจเกิดอันตรายต่อชีวิตของผู้ต้องหา
ดังนั้น ถ้าไม่มีเหตุผลอันสมควร ต่อให้ปฏิเสธการตรวจเลือดไป ผลเสียก็จะเกิดขึ้นกับผู้ต้องหาคนนั้นอยู่ดี โดยกฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า “คุณมีสารเสพติดอยู่ในกระแสเลือด”
ระบุว่า "ถ้าคนทั่วไปคงโดนตรวจไปละ ปฎิเสธได้ กฎหมายไม่บังคับ เว้นแต่เมื่อมีคดีอาญาเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ (พนักงานสอบสวน) จะมีอำนาจสั่งให้ผู้ที่ตกอยู่ในฐานะเป็นผู้ต้องหา หรือผู้เสียหายในคดีอาญา ทำการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ด้วยวิธีการต่างๆ ได้ ซึ่งรวมถึงการตรวจปัสสาวะด้วย และหากผู้เสียหายหรือผู้ต้องหาไม่ทำการตรวจพิสูจน์ ก็ไม่มีความผิดแต่อย่างใด เพียงแต่กฎหมายจะกำหนดว่า ข้อเท็จจริงจะเป็นไปตามผลการตรวจพิสูจน์ในทางที่เป็นผลร้ายกับผู้เสียหายหรือผู้ต้องหานั้น (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 131/1)"
ระบุว่า #รายงานข่าวว่านักร้องดังเป๊ก "ปฏิเสธการตรวจสารเสพติด" อ้างสิทธิของผู้ป่วย ทำได้ครับแต่จะทำให้พี่น้องประชาชนสงสัยในตัวคุณต่อไปทำไมถึงไม่ยอมให้ตรวจ
หมายเหตุ : บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้เบื้องต้นในเชิงวิชาการด้านกฎหมายเท่านั้น โดยไม่มีเจตนาในการกล่าวพาดพิงหรือระบุถึงบุคคลใดโดยเฉพาะ ความคิดเห็นที่ปรากฏเป็นเพียงการวิเคราะห์ภายใต้หลักวิชากฎหมาย อันอยู่ภายใต้กรอบของการแสดงความเห็นโดยสุจริตตามสิทธิที่พึงมีในทางวิชาการ มิได้มีวัตถุประสงค์ในการตัดสินชี้ขาดว่าบุคคลหนึ่งบุคคลใดมีความผิดหรือไม่ประการใดทั้งสิ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
1. พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 – มาตรา 7 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)
2. พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ราชกิจจานุเบกษา
3. เฟซบุ๊กผู้เชี่ยวชาญกฎหมาย Natdanai Aengchoun / Lawyer Narudol Monchaiya / ทนายคลายทุกข์
Advertisement