จุดเริ่มต้นมองเห็นและสื่อสารกับโลกวิญญาณได้ตั้งแต่เด็กของ "หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ" ผีไม่ได้น่ากลัวเท่าคน และข้อคิดดีๆ ในมุมคนสื่อวิญญาณ
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล หรือ หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ที่สามารถมองเห็นและสื่อสารกับโลกวิญญาณได้ตั้งแต่เด็ก ช่วยเหลือวิญญาณจนมาถึงขั้นรับเก็บของที่ไปช่วยมาจากแต่ละเคสไว้ที่ตัวเอง และบทบาทในฐานะเด็กวัดพระบาทน้ำพุเพื่อช่วยสังคม
จุดเริ่มต้นเห็นวิญญาณ ที่มาของทูตสื่อวิญญาณ
มีพี่คนหนึ่งเขาตั้งให้ ทูตมันคือการติดต่อใช่ไหมครับ กับใครคนหนึ่งอะไรอย่างหนึ่ง เขาก็เลยคิดว่าเหมือนเราเป็นตัวกลางในการติดต่อระหว่างโลกที่มองไม่เห็นกับโลกของคนทั่วไป
ตอนสมัยเด็กๆ เวลาเขาไหว้ตรุษจีน สารทจีน ที่เขาจะไหว้ผีไม่มีญาติ แล้วเราตอนนั้นยังเป็นเด็ก จะชอบวิ่งไปบอกแม่ว่า ใครก็ไม่รู้มานั่งกินเต็มไปหมดเลย พอโตขึ้นแม่เล่าให้ฟังว่าเราเป็นอย่างนี้ทุกปี ก็เลยเข้าใจว่าน่าจะเป็นจุดแรกๆ ที่มีความรู้มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้
เส้นทางเข้าไปเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือดวงวิญญาณ
เราไม่ได้เห็นไปซี้ซั้ว มั่วไปเรื่อย แค่จังหวะที่เราคิดว่าอันนี้สมควรช่วยเหลือหรือว่าเขาขอความช่วยเหลือ แล้วคิดว่าช่วยได้ เราก็กำหนดสมาธิให้มันได้ฌาน แล้วก็อาจจะเจอจะเห็นอะไรบ้างเล็กๆ น้อยๆ คือโดยธรรมชาติทั่วไปอย่างเรานั่งคุยอย่างนี้ ผมก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไร แต่ถ้าเป็นจังหวะที่เขา(วิญญาณ)อาจจะเดือดร้อนแล้วขอความช่วยเหลือ เราคิดว่าอันนี้น่าสนใจ เขาอาจจะมีอะไรบางอย่างอยู่ บางทีก็สัมผัสได้ว่ามันมีเรื่องราวในอดีตของคนๆ นี้เป็นอย่างนี้ มันค่อนข้างแรนด้อมว่าจะเกิดอะไรขึ้น บางทีเปิดแล้วก็ไม่มีอะไรเลย เปิดส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องคนที่โดนไสยศาสตร์ โดนคุณไสย อะไรประมาณนี้
เวลาคนส่งเรื่องเข้ามาในเพจว่าเดือนร้อนอย่างนั้นอย่างนี้ เราไม่สามารถช่วยทุกคนได้ ก็จะมีน้องๆ ทีมงานช่วยสกรีนก่อนว่า มันเป็นเรื่องทั่วๆ ไปหรือเปล่า แต่ถ้ามันมีจุดน่าสงสัยว่าหรือมันมีอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ แล้วถ้าเราช่วยปลดล็อกชีวิตเขาได้ก็น่าจะดีไหม หรือบางอันอาจจะไม่ได้มีเรื่องพวกนี้ แต่ถ้าไปแล้วเกิดประโยชน์ ทำให้เป็นวิทยาทานให้คนดูแล้วเขารู้สึกคลายความงมงายลงไปได้บ้าง เราก็จะไป พอเวลาเราคิดว่ามันมีอะไรบางอย่าง พอเปิดแล้วอาจจะพอรู้เรื่องราวบางอย่างได้ เราก็ค่อยๆ ปะติดปะต่อเรื่องราว ว่ามันเป็นอย่างนี้หรือเปล่า แล้วค่อยๆ สืบค่อยๆ ดูจนได้ความ จนอ๋อ...จริงๆ แล้วต้นเหตุมาจากเรื่องนี้
เราอยากจะเช็คว่าจริงหรือเปล่าหรือเรามั่วขึ้นมาเอง เพราะใครก็สามารถพูดได้ เช่น มีเด็กนั่งอยู่ตรงนี้นะ เขาเกาะขาอยู่นะ เมื่อยคอใช่ไหม คืออย่างนี้ใครก็พูดได้ใช่ไหมครับ สมมติถ้าเราสามารถคุยกับเขาได้ว่าเขาชื่อนี้ เป็นคนๆ นี้ เป็นญาติกับคนๆ นี้ เราก็ต้องหาข้อเท็จจริง ขนาดคนเรายังไม่เชื่อเลย จึงต้องมาเช็คว่าจริงหรือเปล่าแล้วเอาข้อมูลไปถามเจ้าตัว ถ้าจริงแสดงว่าสิ่งที่เรารู้ว่าไม่ได้มั่ว ก็จะได้คุยต่อได้
ปัญหาเกิดที่คน...ไม่ใช่ผี
จริงๆ แล้วโดยส่วนใหญ่ ถ้าใครเคยดูเคสที่ผมทำ เรื่องราวทั้งหมดปัญหาทุกอย่างมาจากคนทั้งนั้นเลย ไม่ได้เป็นเรื่องผี คนไม่ชอบกัน คนทำของใส่กัน ครอบครัวไม่อบอุ่น หรือว่ามีความเชื่อผิดๆ บูชาในสิ่งที่ไม่ควรบูชา จะวนเวียนอยู่ประมาณนี้
จากช่วยเหลือวิญญาณ สู่การเก็บสิ่งของที่ได้จากเคสมาดูแลเอง
ตัวนี้เกิดจากบ้านหลังหนึ่งที่เขาเอามาไหว้เอามาบูชาคู่กับกุมาร แล้วด้วยความบังเอิญหรือตั้งใจก็ไม่รู้ก็มีผีมาอยู่อาศัยในตุ๊กตาตัวนี้ แล้วเขาจะอิจฉาผู้หญิงสวย ไม่ชอบผู้หญิงสวย ซึ่งน้องสาวของเจ้าของเคสเขาจะหน้าตาดีนิดนึง เขาก็จะได้ยินเสียงตุ๊กตาดังมาจากข้างบน แล้วเขารู้สึกว่ามันไม่ดี เขาก็จะคิดแค่ว่าทำยังไงดี เอาไปทิ้งได้ไหม เอาไปทำลายเขาก็ไม่กล้า สิ่งที่เขาเรียกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาก็จะไม่กล้า กลัวว่ามีเรื่องมีราว
แล้วมันมีทางเลือกไม่มาก หนึ่งคือเอาไปให้วัด เอาไปเป็นภาระวัด ยังไงเจ้าอาวาสก็ต้องรับอยู่แล้ว หรืออีกทางคือเอาไปทิ้งตามต้นไม้ใหญ่ ทิ้งตามที่ที่เขาทิ้งศาลกัน ก็เป็นขยะอีก เราก็เลยบอกว่าถ้างั้นเอามานี่ก็ได้ เพราะเราไม่ได้รู้สึกว่ามันอันตราย เป็นเรื่องแบบเลวร้ายอะไร ก็ตั้งใจเอามาแล้วให้คนดูเป็นวิทยาทาน เอามาวางโชว์ให้คนเห็นว่ามันมีความเชื่อเหล่านี้นะ แต่เราควรจจะอยู่กับมันอย่างไร
ก็จะมีหลายอย่างที่ได้มา บางอย่างก็มาจากเคสกุมารทอง กระดูกก็มี แล้วมีเชือกมัดติดทองไว้ น้ำมันพรายอันนี้ได้มาจากไปทำเคสเจออยู่ในห้องที่สมัยก่อนเขามีผู้หญิงบริการ มีควายธนู มีฟิล์มโบราณ
ผี...มีจริงไหม?
แล้วแต่ใครเชื่อแล้วกันครับ แล้วแต่ว่าใครมีความเชื่ออย่างไร ผมเชื่อในทางพุทธ พระพุทธองค์บอกว่าคนเรามีชีวิตอยู่ ประกอบด้วยขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ คนจะชอบคิดว่าวิญญาณจะลอยๆ ไปมา อีกอย่างหนึ่งคือความรู้สึกที่เกิดจากประสาททั้งหลาย เช่น หิว ง่วง อิ่ม หนาว ร้อน ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นจากที่เราไปปรุงมันเรียกว่าวิญญาณ
เวลาเสียชีวิตไปแล้ว เขาบอกว่าคนเวลาเสียชีวิตไป จะทิ้งขันธ์ 5 ออกตัวใครตัวมัน เราเห็นเลยชัดๆ ว่าร่างกายทิ้งไว้กับโลกกลายเป็นซากศพ ส่วนอย่างอื่น เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ มันก็แตกออกจากกันแล้วมันจะไปเหลือผีได้อย่างไร เพราะฉะนั้นคำว่าวิญญาณในทางพุทธไม่ใช่ มันเกิดจากว่ามันมีการยึดติดในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เช่น ถ้าเรายึดติดว่าที่ดินอันนี้ของฉัน ฉันหวง มันคือเวทนา มีสัญญาจำได้ว่านี่คือของเขา มีสังขารปรุงว่านี่คือของของกู กูไม่ให้ใคร เขาก็จะไปมีขันธ์ทั้ง 3 จิตเขาผูกอยู่ในที่ดินช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เวลาเขาเข้าใจได้ว่ามันไม่ใช่แล้วนะ มันก็ไปตามปกติ
โอกาสที่จะเป็นผีที่ค้างอยู่ในโลกนี้ยากมาก คนที่เสียชีวิตปกติก็ไปตามปกติ จะมีแค่เวลาเสียชีวิตไม่ปกติบางกรณี เช่น ฆ่าตัวตาย หายโหง อะไรอย่างนี้เท่านั้น หรือว่ายังมีความเคียดแค้น อาฆาตแค้น ยึดติดอะไรมากๆ ถึงจะอยู่ได้ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น อันนี้ผีในความหมายของผมเท่านั้น คนอื่นเป็นอย่างไรผมไม่รู้
ผี...ไม่ได้น่ากลัวเท่าคน
ไม่เลยครับ คือในบรรดาทั้งหมด ผีน่ารักสุดแล้ว เขาไม่เคยเรื่องมาก สำหรับผม อันนี้ความเชื่อส่วนบุคคล ผีเขาจะมาแค่ขอส่วนบุญเพราะเขาขาดแคลน เขายึดติดไงเขาก็จะมาขอส่วนบุญ ขอความโล่งโปร่งสบาย ความรู้สึกสบายใจจากใครสักคนหนึ่ง เพื่อให้เขาได้รับสิ่งดีๆ สิ่งที่มันน่ากลัวคือสิ่งที่เราเรียกกันว่าเทวดาหรือมนุษย์ นี่คือที่สุดแล้ว เพราะว่าคนเรามองหน้ากันไม่รู้ว่าหน้าตาดีๆ อย่างนี้ คิดอะไรอยู่ในใจ หรือว่าการกระทำอาจจะไม่ตรงกับความคิดความรู้สึกก็ได้ เราไม่รู้
ผันตัวเป็นจิตอาสารับใช้หลวงพ่ออลงกต แห่งวัดพระบาทน้ำพุ
ผมอยู่กับหลวงพ่อมา 8 ปี แล้ว ท่านชอบไปทำโรงทาน ผมก็ไปทำโรงทาน จัดกิจกรรมให้ จัดบูธตามห้างเราก็ไปทำ แต่พอตอนนี้เราเหมือนมีสื่อเล็กๆ ในมือ อยากจะทำโรงทาน อยากได้คนมาช่วย ก็จะมีจิตอาสามาช่วย กิจกรรมไหนขาดปัจจัยก็มีคนมาร่วมกัน ความสนุกของการอยู่กับหลวงพ่ออลงกต อยู่ตรงที่ว่าท่านทำโครงการเยอะ ท่านช่วยไปหมด แล้วมันได้ช่วยจริงๆ เราเห็นว่าสิ่งที่เราทำมันเกิดประโยชน์จริงๆ แล้วมีหลายช่องทาง เพราะหลวงพ่อท่านจัดสรรไว้ดี ถ้าอยากให้ช่วยเรื่องนี้ ให้เข้าอันนี้ ไม่ได้มั่วกัน ถ้าจะทำกับท่านโดยตรงเลยเป็นทางที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาร อาหารแห้ง อะไรก็ได้ที่จะบริจาคให้กับทางวัด กับหลวงพ่อก็ได้ บัญชีก็มีหลายบัญชี ซึ่งมันถูกแยกเอาไว้แล้วสำหรับเพจต่างๆ แล้วก็มีหมายเลขที่ทุกคนน่าจะพอจำได้บ้างคือ *494333 กดโทรออกปุ๊บ 15 บาท คือทั้งหมดเข้าหลวงพ่อหมดเลย ทำบุญครั้งละ 15 บาท ทำเมื่อไรทำตอนไหนก็ได้
ข้อคิดดีๆ ในมุมคนสื่อวิญญาณ
ตอนเราตายไปเราเอาอะไรไปไม่ได้ เงินหนึ่งบาทใส่ปาก หนึ่งบาทยังเอาไปไม่ได้เลย แต่เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำมันประทับตราไว้บนโลกใบนี้ มันทำให้ใครสักคนมีชีวิตที่ดีขึ้นได้บ้าง ทำให้ใครสักคนมีข้าวกินอิ่มอีกมื้อหนึ่งก็ดีแล้วนะ แค่นี้เลย เวลาคนมาถามว่า โดนของทำยังไง ชีวิตแย่ทำยังไง ก็จะบอกว่า ทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าคุณอยู่ในศีลอยู่ในธรรมอันดีงาม คุณมั่นใจว่าคุณเป็นคนดีพอ ไม่ทำอะไรที่มันซี้ซั้ว ไม่ได้ไปฆ่าใคร ไปขโมยของใคร ไม่ได้ผิดศีล ไมต้องกลัวของอะไรพวกนี้ทั้งสิ้น อยู่กับตัวเองปกตินั่นแหละ ไม่มีใครทำอะไรได้แน่นอน เพราะเราบอกว่าเราเป็นชาวพุทธ เราถือสิ่งที่เป็นสรณะคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แค่นั้นพอ
ติดตามเรื่องของหมอบีทูตสื่อวิญญาณ ได้ที่นี่
Advertisement