ธุรกิจสีเขียวไม่ใช่เทรนด์... แต่จำเป็นสำหรับ SME จากสองมุมมองธุรกิจสีเขียวที่ประสบความสำเร็จด้านความยั่งยืน และการสร้างคุณค่าทางสังคม
ธุรกิจสีเขียวไม่ใช่เทรนด์... แต่จำเป็นสำหรับ SME หนึ่งในหัวข้อชวนฟังจากงานเสวนา "สสว. เพื่อน SME สร้างรายได้ ขยายโอกาส เสริมแกร่ง" ผ่านมุมมองของ 2 สองธุรกิจสีเขียวที่ประสบความสำเร็จ อย่าง คุณนุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา นักแสดงและนักธุรกิจเพื่อสังคม CEO บริษัท คิด คิด จำกัด และ คุณเก่ง ธีระพงศ์ ระบือธรรม ผู้ก่อตั้งและเจ้าของบริษัท สมุนไพร หงส์ไทย จำกัด ว่าด้วยเรื่องของธุรกิจสีเขียวไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ แต่เป็นกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืน สร้างคุณค่าทางสังคม และดึงดูดลูกค้าที่ใส่ใจโลก
จากบทบาทนักแสดงที่มีชื่อเสียง สู่จุดเปลี่ยนหันมาสนใจธุรกิจเกี่ยวกับความยั่งยืน
คุณนุ่น ศิรพันธ์ นักแสดงและนักธุรกิจเพื่อสังคม CEO บริษัท คิด คิด จำกัด กล่าวว่า สำหรับใครหลายคนอาจจะเริ่มต้นจาก Pain Point บางอย่าง แต่ของเธอนั้นจุดเริ่มต้นมาจากผู้ชายซึ่งก็คือ ท็อป พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร ผู้เป็นสามี พื้นฐานนุ่นจบวิศวะอุตสาหการก็จะมีพื้นฐานในเรื่องของการคำนวณ การดูลีดไทม์ การเข้าโรงงานต่างๆ แล้วก็จับพลัดจับผลูมาเป็นนักแสดง แต่ว่าในจังหวะช่วงเข้าวงการยังก้ำกึ่งว่าจะทำงานเกี่ยวกับด้านการแสดงแล้วก็อาจจะกลับไปเป็นอาจารย์ มาเจอผู้ชายคนนี้ พี่ท็อปไปดูภาพยนตร์สารคดีเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม แล้วช่วงนั้นกำลังคุยๆ กันอยู่ เขาก็มาพูดว่านุ่นรู้มั้ยว่าโลกมันกำลังจะขึ้นอีก 2 องศานี่ชีวิตเปลี่ยนเลยนะ เขาพูดเยอะมากซึ่งเราไม่เข้าใจ ในยุคนั้นเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้วพูดเรื่องสิ่งแวดล้อมคือเรื่องเกี่ยวกับตัดไม้ทำลายป่าเท่านั้น ไม่ได้มีเรื่องเกี่ยวกับโลกร้อน ไม่มีเกี่ยวกับภาวะเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
เราก็แอบชอบเขานะดูหล่อแต่เราต้องไว้เชิงของผู้หญิงนิดนึง ต้องสร้างคุณค่าให้ตัวเองด้วยการค้นหาข้อมูลแล้วก็ย่อยให้มันง่ายที่สุด พอสมมติเจอกันวันเสาร์ปุ๊บขึ้นรถมาเราก็จะพูดประหนึ่งว่าเราสนใจเรื่องนี้มากๆ ว่าไม่น่าเชื่อนะว่าอเมริกาเขาทำเรื่องนี้ ดูเป็นผู้หญิงมีคุณค่าทันที ซึ่งจริงๆ เพิ่งรู้เมื่อคืน แต่ว่านี่แหละค่ะเป็นที่มาจุดเริ่มต้นว่าอยากให้เขารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เขาชอบแล้วเราสนใจ
ก็เริ่มจากการที่เปิดร้านที่ขายสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมชื่อ Ecoshop น่าจะเป็นร้านแรกๆ ในประเทศที่ใช้คำนี้ เพราะว่าตอนนั้นเป็นนักแสดงแล้วค่ะ แต่ขายหนังสือเล่มหนึ่งที่ได้รับรางวัลจากญี่ปุ่น ได้รับรางวัลออกแบบผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมที่เป็น อีโค่ดีไซน์ ขายหนึ่งเล่ม 240 บาท คุย 1 ชั่วโมง ขายไม่ได้แล้วยังมาถามอยู่เลยว่าคำว่า อีโค่แปลว่าอะไรนี่แหละค่ะเป็นจุดเปลี่ยนว่าเราเริ่มสนใจจากผู้ชาย แล้วก็ค่อยๆ มาต่อยอดจนมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และนี่ก็คือผลิตภันฑ์ที่เราทำเพราะว่าพี่ท็อปจบการออกแบบผลิตภัณฑ์ นุ่นก็เอาความรู้ที่นุ่นจบวิศวกรเข้ามาจับแล้วก็ทำงานเรื่องพวกนี้ด้วยกันค่ะ
ในบทบาทของการเป็น CEO บริษัท คิด คิด จำกัด ทำเกี่ยวกับอะไร?
เราเริ่มจากขายสินค้าค่ะ นุ่นเป็นประเภทอินง่าย เรารู้จักกับผู้ประกอบการตัวเล็กๆน้อยๆ ขอเล่านิดนึงว่ามีคุณป้าจากโคราชตอนที่เราทำข่าวไปใหม่ว่าเราเปิดร้าน Ecoshop อยู่กลางสยาม เมื่อเกือบ 15-16 ปีที่แล้ว มีคุณป้าเห็นข่าวในทีวีแล้วป้าติดต่อมาทางเฟซบุ๊ก ว่าป้าตัดเย็บเสื้อผ้าแล้วป้ามีเศษผ้าที่เหลือ ป้าเอาเศษผ้ามาเย็บตุ๊กตาแบบนี้ถือว่าเป็นสินค้าอีโค่ขายในร้านหนูได้ไหม เราบอกว่าได้ คุณป้าส่งมาแล้ววิธีการส่งยุคนั้นคือส่งรถทัวร์ มันยังไม่มีสงครามส่งด่วนส่งถึงหน้าบ้าน นุ่นขับรถไปรับตรงสถานีขนส่งเป็นกล่อง รับเสร็จปุ๊บเอามาวางขาย เชื่อมั้ยคะว่า Eco Product ในประเทศไทยในยุคนั้น สมมติขายหลัก100-200 คนไทยไม่ซื้อนะคะ แต่เราเอาไปตั้งขายตรงสยาม ขายหมดเร็วมากของคุณป้าขายหมดเร็วมาก
เราดีใจมากเราติดต่อคุณป้าไปบอกว่าป้าคะ ขายได้นะคะล็อตนี้ 10 ตัวที่ป้าส่งมา ป้าเสียงเครือ เราก็เป็นนักแสดงเราก็อินง่ายเราก็เลยรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ การที่จะทำเรื่องเกี่ยวกับสังคมกับสิ่งแวดล้อมมันได้สังคมด้วยนะ นี่แหละค่ะก็เป็นที่มาว่าจากการที่เราเริ่มเล็กๆ แล้วก็ขยายกลุ่มเครือข่าย แล้วก็มีบริษัทหรือองค์กรที่เขาเริ่มสนใจคำว่าความยั่งยืนหรือเรื่องสิ่งแวดล้อม
ในยุคนั้นคำว่ายั่งยืนยังไม่ค่อยมาจะมาแค่คำว่าสิ่งแวดล้อมก่อน อยากมาชวนปลูกป่าเราก็จะบอกว่า จากการที่เรามีเครือข่ายเยอะขึ้นเราก็จะพูดเสมอว่าทุกๆ องค์กรไม่ได้เหมาะกับการปลูกป่า ทุกๆ องค์กรมันจะมีค่านิยมหลักของตัวเอง แล้วควรที่จะทำเรื่องความยั่งยืนที่ตอบโจทย์ค่านิยมหลักของตัวเอง ให้คนในองค์กรมีส่วนร่วมมากกว่าที่จะชวนทุกคนไปปลูกป่าหรือเก็บขยะ นี่แหละค่ะก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เราเก็บองค์ความรู้แล้วก็ขยายมาเป็นที่ปรึกษา ณ ปัจจุบันเราเห็นว่าถ้าทำเรื่องสิ่งแวดล้อม ทุกวันนี้คนติดโทรศัพท์เป็นเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีเราก็เลยทำเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นแพลตฟอร์ม ชวนคนเอ็นเกจในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือแท็กเกี่ยวกับพฤติกรรมบางอย่าง ก็เลยปวารณาตัวเองจากการดูโรงงาน มาคุมเดฟแทน นี่แหละค่ะเป็นที่มาของแพลตฟอร์มของคิด คิด จากเปิดร้านเล็กๆ มาเป็นที่ปรึกษา แล้วก็ตอนนี้ทำแพลตฟอร์มค่ะ
หงส์ไทยกับเรื่องความยั่งยืน เส้นทางกว่าจะมาเป็นหงษ์ไทยสีเขียว
คุณเก่ง ธีระพงศ์ ระบือธรรม ผู้ก่อตั้งและเจ้าของบริษัท สมุนไพร หงส์ไทย จำกัด กล่าวว่า จริงๆ แล้วเวลาที่เราได้ทำธุรกิจหรือทำงาน มันจะมีการต่อยอดเรื่องของจุดกำเนิด จุดกำเนิดเล็กๆของเรามันคือความคิด และความคิดนี้มันจะทำให้สำเร็จได้ก็ต่อเมื่อเราต้องมีประสบการณ์ และประสบการณ์ที่ดีที่สุดก็คือปัญหาต่างๆ ของเราเอง จากปัญหาต่างๆ ของเราเองมันก็เลยทำให้เราค่อยๆ ประติดประต่อเรื่องราวต่างๆ ที่ทางบริษัทประสบพบเจอ เราต้องแก้ไขมากมายมหาศาล สิ่งหนึ่งที่เราเห็นแล้วเราเข้าใจมันตั้งแต่ที่เราเป็นหงส์ไทยนั่นคือการเสียสละ การทำธุรกิจแล้วประกอบกับคำว่าเสียสละมันคือความสมดุล และถ้าเราเอาความสมดุลที่เราเข้าใจมาแปลเป็นความสำเร็จ มันจะทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ สิ่งหนึ่งที่โลกใบนี้มันจะน่าอยู่คือความเข้าใจที่เรามีชีวิตอยู่ได้หรือประสบความสำเร็จมาจากผู้บริโภค และผู้บริโภคก็ให้เรามีชีวิต แล้วเวลาที่เรามีชีวิต เราจะมีชีวิตแบบไหนหรือมีชีวิตแค่ตัวเราเอง แต่เราไม่คำนึงถึงผู้ให้ชีวิต แต่ถ้าเราคำนึงถึงผู้ให้ชีวิต เวลาที่เรามีชีวิตเราจะทำชีวิตเรากลับไปคืนกำไรให้กับผู้ให้ชีวิต นี่คือสิ่งหนึ่งที่เราค้นพบของความสมดุล
และปัจจุบันนี้ความสมดุลที่เราเข้าใจมัน เรากำลังทำโครงการของบริษัทแบบไม่ค่อยมีคนรู้เท่าไหร่ เรียกว่าค่อยๆ ทำไป ค่อยๆ ซึม ค่อยๆ สร้างไป สิ่งหนึ่งที่เรามีความสุขเริ่มจากองค์กร เพราะองค์กรก็จะได้สัมผัสสิ่งหนึ่งที่เราเข้าใจนั่นคือการแบ่งปัน การแบ่งปันมันจะมีหลายรูปแบบ แต่แบ่งปันที่ดีที่สุดก็คือแบ่งปันให้ถึงผู้ที่จะได้รับ เราจะไม่เอาเงินบริจาคให้ใคร เราจะไม่เอาเงินของเราไปให้กับโครงการโน้นโครงการนี้ บริจาคให้กับวัดโน้นวัดนี้หรือมูลนิธินู่นนี่ เราไม่ทำเลย เราเชื่ออย่างหนึ่งว่าเราทำก็ได้หรือเราไปบริจาคก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำเองเราขอต่อยอดความไม่เข้าใจในการทำบุญ นั่นแปลว่าสิ่งที่เราทำทั้งหมดมันจะมีปัญหามีอุปสรรค แล้วเราก็จะเห็นต่างๆ นานาที่เราเป็นคนกระทำแล้วเห็นว่ามันมีช่องว่างที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่ถูกวัตถุประสงค์ เราแก้ได้เลย แต่เวลาที่เราไปบริจาคที่ต่างๆ ก็แล้วแต่ เราแก้ไม่ได้ ที่เราแก้ไม่ได้คือเราเข้าไปยุ่งกับความคิดของที่นั้นๆ ไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่เราทำไปแล้วเห็นผลสุดคือการบริจาคเงินให้กับเด็กยากไร้หรือเด็กที่ด้อยโอกาส
สิ่งหนึ่งนี่คือเราลงสำรวจ อาจารย์ให้ข้อมูลมาเด็ก 36 ราย ลงสำรวจแล้วไปเจอแค่ 8 ที่เหลือไม่ลำบาก แต่ถ้าเราไม่ลงสำรวจอะไรจะเกิดขึ้นถูกไหมครับ โครงการเรา 1 ปี 10 รายต่อสาขา แล้วเราให้ทุกเดือน เราไม่ได้ให้เป็นเทอมนะ เราไม่ได้ให้แค่ทุนการศึกษาเทอมนี้ปีนี้ แต่เราให้ทุกๆเดือน แล้วเราก็สำรวจเด็กยากไร้ทุกปีของแต่ละปี เพื่อให้โครงการมันตรงวัตถุประสงค์เวลาที่เด็กยากไร้ เราให้เขา เขาจะรู้สึกมีค่า ตรงนี้มันก็เลยทำให้ทางเราชำนาญเรื่องการลงสำรวจ
ตอนนี้เรามีเด็กดูแลอยู่ประมาณ 80 คน สาขาหนึ่งคือ 10 คนต่อปี ตอนนี้ก็สี่สาขาเฉลี่ยก็เกือบ 80 แต่เราจะทำอย่างนี้ 5 ปี คือ 200 คน แล้ว 200 คนนี้เราก็จะดูแลตลอดไป ถามว่าทำไมเราถึงต้องทำแบบนี้ อันนี้แหละคือทำแล้วได้โดยตรงเลย คือทำแล้วเห็นโดยตรง แล้วทำไปทำมาแล้วก็มีโครงการเกี่ยวกับโรงทาน จากที่เราให้โรงทานเสร็จแล้วตอนนี้ก็กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงแบบยากไร้อีก อันนี้เราถือว่ายิ่งทำเราก็ยิ่งเข้าลึก ลึกไปเรื่อยๆ
จนปัจจุบันนี้เรามีโครงการใหญ่ที่จะทำที่โคราช เราจะมีโครงการใหญ่ก็คือโครงการช่วยอาชีพคนไทยที่ขาดโอกาส ไม่ว่าอาชีพคนไทยนั้นจะเป็นอาชีพของกิน ของใช้ หัตถกรรม ทอผ้า วาดรูป ใดๆ ก็แล้วแต่ที่เป็นอาชีพของคนไทย เราก็จะใช้หลักการเดิม ลงสำรวจแล้วก็เข้าไปช่วยอาชีพคนไทยที่ขาดโอกาส แต่ส่วนที่เขาไปได้เราจะไม่เข้าไปยุ่งกับเขา ก็ให้วัฏจักรที่เขากำลังเดินทางอยู่ไปต่อไป แต่เราจะเข้าไปยุ่งคือ เข้าไปยุ่งกับอาชีพเป็นหนี้เป็นสินหรือไม่รู้จักการตลาดไม่รู้จักการบริหารจัดการ ยังขาดหลายๆ อย่างที่ยังไม่สามารถเชื่อมโยงให้เกิดความสำเร็จได้
เราเองไม่ได้ประกาศว่าเราเก่ง แต่เราอยากจะทำให้วิถีที่หงส์ไทยเดินมาในเส้นทางที่ไม่รู้ แล้วตอนนี้รู้ เราก็จะนำพาประชาชนคนไทยที่มีอาชีพนี่แหละเข้าสู่ภาวะเดียวกับเรา คือการเรียนรู้ในวิถีหงส์ไทย นั่นคือการเดินเส้นทางแบบไม่รู้แล้วก็เกิดการวิวัฒนาการ พัฒนาไปตามกาลเวลาเพื่อให้เกิดความสำเร็จ โครงการนี้จะเป็นโครงการใหญ่ หนึ่งจังหวัดเราช่วยได้ 5 รายต่อ 5 ปี เราจะทำติดต่อกันอย่างนี้ 3 รอบ ก็คือโครงการจะยาวถึง 15 ปี เพื่อช่วยอาชีพคนไทยที่ไม่มีโอกาสได้ประมาณ 1161 ราย นี่คือส่วนสำคัญที่ปัจจุบันนี้เราอยากจะให้สิ่งหนึ่งที่เรารับรู้ทั้งหมดเป็นรูปธรรมในแบบฉบับที่ถูกกำหนดจากเราเอง สังคมจะไม่สามารถกำหนดเราได้แล้วเพราะว่าเราทำไปหมดแล้ว สิ่งไหนที่สังคมกำหนดเรา เราก็ทำไป อันไหนไปไม่ได้เราก็ขอคิดใหม่ อันไหนไปได้อันไหนดีอยู่เราก็ทำต่อไป แต่ส่วนส่วนหนึ่งที่เราอยากจะบอกก็คือไม่ว่าประสบการณ์นั้นจะดีหรือไม่ดี มันจะมีแค่หนึ่งเรื่องที่เราควรทำ คิดใหม่ นี่คือส่วนหนึ่งที่จะทำให้การทำธุรกิจแบบช่วยสังคมให้ยั่งยืนด้วยครับ
งบประมาณนี้เราไม่ได้มีนะครับ ใช้วิธีทำไปเรื่อยๆ สมมติเราจะบอกว่าเราต้องการสร้างโครงการนี้ด้วยงบประมาณ 300 ล้าน เราต้องไปกู้เขามา 300 ล้าน อันนี้เราไม่ทำ สิ่งที่เราทำคือ สมมติโครงการมัน 5 ปีแรก เราก็จะค่อยๆ ทำไปจน 5 ปีปุ๊บเสร็จหนึ่งจังหวัดห้าราย ถามว่าเอาเงินมาจากไหน เอาเงินแต่ละเดือนก็ทำไป แต่แต่ละเดือนมันต้องไม่มีผลกระทบกับบริษัท สิ่งหนึ่งที่เราต้องการทำคือเราไม่ต้องการสร้างหนี้ เราไม่ต้องการให้ลูกน้องเรามาเสี่ยง สิ่งหนึ่งที่เราทำให้กับสังคมคือมันเป็นส่วนหนึ่งที่เราเข้าใจว่าสังคมช่วยเรา เราก็ช่วยสังคมกลับไป แล้ววัฏจักรของการพึ่งพาซึ่งกันและกันมันก็จะเกื้อหนุนให้บริษัทมีฐานลูกค้าแบบเหนียวแน่น แล้วก็มีความลึกซึ้งแบบที่เราเป็นคนไทย
ถามว่าเวลาเราทำธุรกิจผมจะไม่เน้นกู้ ทำไมถึงไม่เน้นกู้ ถ้าเราเน้นกู้มันง่าย แต่ถ้าเราเน้นสู้มันจะเกิดกลไกวิเศษ ผมใช้คำนี้ดีกว่าเนอะมันจะเกิดกลไกวิเศษ ทำไมมันถึงวิเศษ ลำบากยิ่งคิด ลำบากยิ่งทำ ลำบากยิ่งค้นหา ลำบากยิ่งพยายาม ลำบากแล้วมันเกิดกลไกของร่างกายของสมอง มันหาช่องทาง เหมือนมันเป็นเข็มทิศที่ว่าตรงไหนมีแสงสว่างมันก็จะไป ถึงไปแล้วไม่ถึงอย่างน้อยมันก็มีประสบการณ์ แล้วเส้นทางที่เราค้นพบเราเชื่ออย่างหนึ่งว่าถ้าเราสู้ด้วยหยาดเหงื่อแรงกายแรงใจเรา มันไม่มีต้นทุน ให้เราเหนื่อยขนาดไหนมันก็ไม่ได้เป็นหนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่มันได้คือความรู้ แล้วให้ความรู้ตรงนี้มันแปลเป็นเงิน แต่ถ้าเราไปกู้เป็นเงินแล้วถามว่าองค์ความรู้วิเศษมันจะเกิดขึ้นตอนไหน เพราะความรู้พิเศษจริงๆ มันจะมาตอนลำบากมากๆ
หงส์ไทยเติบโตมาจากเงิน 200-300 ที่ออกจากงานมามีเงินเก่า 200-300 ปั้นจากสิ่งที่ปั้นไม่ได้ให้ปั้นได้ บางคนบอกว่าไม่มีทุน พ่อแม่ไม่รวย ไม่มีการศึกษาไม่มีองค์ความรู้ ไม่มีความพร้อม คำพวกนี้เขาเรียกว่าเป็นคำของทางออกที่ทำให้เราสบายใจ แต่ถ้าเราลบคำพวกนี้ออกมันจะไม่มีคำพวกนี้ให้เราอ้าง มันจะมีอยู่วิธีเดียวคือต้องทำตอนนี้ ทำยังไงก็ได้ในสิ่งที่เราเป็น คือเป็นแบบนี้ก็ทำแบบนี้ สู้แบบนี้ก็สู้แบบนี้ เพราะถ้าเราอ้างจะไม่ได้ทำ คือคนเราขาดโอกาสไปเยอะเพราะเราอ้างไง อ้างเสร็จแล้วมันก็จบไป
มีอีกนิยามหนึ่งอาจจะขัดกับความเป็นจริง นิยามนั้นคือเป็นเวรเป็นกรรม เพราะมันเป็นเวรเป็นกรรมมันก็เลยหาทางออกให้กับคนส่วนใหญ่ที่จะได้ไม่ต้องคิดเยอะ ตัดไปเลยนี่เป็นเวรนี่เป็นกรรม ลองคิดดูว่าผมเกิดมาในครอบครัวที่ลำบาก แต่ผมไม่ได้ดูถูกพ่อแม่ ผมไม่ได้ดูถูกกับสิ่งที่ผมเกิดมา ผมคิดอย่างเดียวว่าผมเกิดมาแล้วเราจะทำยังไงให้ชีวิตเราดูแลพ่อแม่ได้ นั่นคือพื้นฐานเบสิคเลย แต่ถ้าเราบอกว่าทำไมพ่อแม่ไม่รวย ทำไมไม่ส่งให้เราเรียนหนังสือ ทำไมไม่สร้างฐานะให้เราสบาย ทำไมไม่สร้างฐานะให้เรามีทุนได้ทำธุรกิจแบบไม่ต้องไปลำบาก ถามว่าเกิดมาแล้วเลือกเกิดไม่ได้แล้วมันเป็นเวรเป็นกรรมไหม มันก็ไม่ใช่เวรใช่กรรมนะ ถ้ามันเป็นเวรเป็นกรรมวันนี้เราไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้แล้ว เราไม่ได้เป็นหงส์ไทยแล้ว เพราะเราบอกว่ามันเป็นเวรเป็นกรรม แต่ถ้าเราไม่ใช้เวรกรรม มันจะมีนิยามอย่างหนึ่งคือนิยามความจริงที่จะทำให้ชีวิตเราเจริญขึ้น
คำแนะนำเกี่ยวกับธุรกิจ SME ที่อยากจะก้าวเข้ามาสู่ธุรกิจสีเขียว
นุ่น ศิรพันธ์กล่าวว่า แต่ละทุกอุตสาหกรรมมันก็จะมีแง่มุมในการเข้าความเป็นความยั่งยืนที่ไม่เหมือนกัน แต่ว่าอย่างหนึ่งที่เถียงไม่ได้คือยุคนี้เป็นยุคที่เราต้องพูดเรื่องความยั่งยืน ไม่มีธุรกิจหรือในอุตสาหกรรมไหนไม่พูดเรื่องนี้เลย ใครไม่พูดนี่คือเชยมากๆ นุ่นว่าสิ่งที่นุ่นเตรียมมาแต่ละท่านน่าจะเคยคุ้นๆ เห็นอยู่ว่ามันเป็นเทรนด์ของทางผู้บริโภคเองที่เปิดกว้าง ในยุคที่นุ่นทำเป็นยุคที่เหนื่อย เพราะว่ากว่าจะอธิบายคำว่าอีโค่ ต้องอธิบายก่อนว่าอีโค่แปลว่าอะไร คำอะไรมาบวกกันแล้วมีความหมายยังไง แต่ในยุคนี้แค่เราเห็นผ้าทอเห็นสีเขียวเห็นสีน้ำตาลทุกคนเข้าใจว่าเรากำลังพูดถึงอะไร แล้วแต่ละธุรกิจกำลังพูดถึงว่าฉันเป็นกรีนนะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความยั่งยืนนะ ทุกคนพูดหมดเลย แต่สิ่งหนึ่งคือแต่ละธุรกิจนุ่นว่าวันนี้ถ้าเราจะพูดเรื่องความยั่งยืน
สิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากมากกว่าในสิ่งที่เราได้เจอ มันคือ คุณค่าของตัวเราเอง ว่าตอนนี้ในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ คุณค่าจริงๆ ในเรื่องของความยั่งยืนคืออะไร ระวังคำว่า การฟอกเขียวธุรกิจ อันนี้เป็นสิ่งที่เจอบ่อยมากค่อนข้างมากแล้วก็จะมีคำถามค่อนข้างเยอะว่าสิ่งที่แต่ละธุรกิจหรือธุรกิจเรากำลังทำอยู่ เราคือการฟอกเขียวธุรกิจหรือเปล่า เพราะบางเรื่องสามารถเอามาพูดได้เลยว่ากิจการของเรารักษ์โลกนะแต่มันรักษ์โลกแบบสุดท้ายปลายทางมันคือความยั่งยืนจริงๆ หรือเปล่า อาจจะเป็นแค่พูดว่าเราช่วยแยกขยะ แต่สุดท้ายแล้วปลายทางคุณไม่ได้ลดตั้งแต่ต้นทางเลยนะ คุณแค่หยิบประเด็นใดประเด็นหนึ่งขึ้นมาแล้วบอกว่าเราลดนะ แต่ว่าสุดท้ายแล้วทั้งซัพพลายเชนของคุณอาจจะไม่ได้ลงถึงตั้งแต่ต้นน้ำ ว่าวัตถุดิบเอามาไงจนถึงปลายน้ำในการจัดการยังไง แต่บางทีพูดแค่กิมมิกเล็กๆ ซึ่งนุ่นกำลังคิดว่าอันนี้เป็นสิ่งที่อยากจะฝาก ในความกังวลว่าตอนนี้ผู้บริโภคค่อนข้างที่จะต้องการสิ่งที่มันจริงมากๆ และสิ่งที่มันสามารถตรวจสอบได้อย่างแท้จริง เขาสามารถหาข้อมูลได้
ดังนั้นทุกอย่างที่เราพูดไปสุดท้ายมันจะถูกสังคมช่วยตรวจสอบ แล้วถ้าเกิดเราทำไม่ได้นุ่นกลับคิดว่าก็บอกไปเลยว่าทำไม่ได้ อย่างนุ่นฟังเรื่องการขายเครื่องดื่ม เราจำเป็นต้องใช้แก้วพลาสติก ใช้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ต้นทุนแพง เราก็บอกไปเลยว่าต้นทุนแพง บอกไปเลยจำเป็นต้องใช้หลอดก็ต้องบอกไปเลยว่าต้องใช้หลอด แต่ว่าเราจะจัดการเขายังไงหรือเลือกวัสดุยังไง พูดไปเลยนุ่นว่าผู้บริโภคเข้าใจกว่า
ฝากเพิ่มอีกนิดก็คือถ้าถามว่า SME วันนี้นุ่นมาในฐานะไซส์ S เล็กๆ สิ่งหนึ่งที่อาจจะเป็นความคุ้นชินของนุ่นก็คือนุ่นชอบดูสายโรงงาน LCA (Life Cycle Assessment) ก็คือวัฏจักรของการผลิตตั้งแต่ต้นทางจนถึงจัดการของเขา กลับไปดูว่าอะไรที่เราสามารถจัดการได้ ไม่จำเป็นจะต้องยกเครื่องทุกอย่างเพื่อทำให้มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความยั่งยืน ในมุมนี้นุ่นพูดแค่ในเชิงของการผลิตนะคะ ไม่จำเป็นที่จะต้องทำทุกอย่าง บางอย่างเราทำไม่ได้ทั้งหมด แต่อาจจะชวนว่าถ้าเกิดเป็น SME ที่เป็นสายโรงงานสายผลิตสินค้าลองกลับไปดูในแบบวัฏจักรของเราว่าในส่วนไหนที่เราสามารถจัดการได้
แล้วความยั่งยืนไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือชุมชน คนที่อยู่รอบข้าง บางทีสมมติบางอย่าง นุ่นเจอผู้ประกอบการท่าหนึ่งน่ารักมาก ท่านทำร้านดอกไม้ แล้วดอกไม้เมืองไทยยังไม่สามารถตอบโจทย์สเปคหรือดีไซน์ของที่ร้านได้ เขาจำเป็นที่จะต้องนำเข้าดอกไม้มาจากต่างประเทศ ซึ่งเขาก็บอกเลยว่าดอกไม้อันนี้มันจำเป็นต้องใส่เครื่องบินมา การปล่อยคาร์บอนของเขาคือเยอะมากแต่เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำได้ อย่างเช่นกระดาษที่เอามาห่อ หรือสุดท้ายเขามาชวนนุ่นทำเป็นการคอนแลปกัน ทำยังไงที่จะให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเอาเศษขยะไม่ว่าจะเป็นโบว์เอยอะไรเอยเอากลับไปเข้าสู่กระบวนการจัดการที่ถูกวิธีได้ หรือแม้กระทั่งพอบอกว่าเรื่องของชุมชน ของบางอย่างเราไม่จำเป็นที่จะต้องสั่งมาจากต่างประเทศ เราสามารถที่จะซัพพอร์ตชุมชน อันนี้มันได้หลายต่อนะคะการซัพพอร์ตชุมชนหรือว่าโรงงานละแวกข้าง ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นะเพราะว่าเป็นเรื่องของโลจิสติกส์ คนในชุมชนมาใกล้ๆ นอกจากสร้างงานสร้างอาชีพแล้วก็เรื่องของสิ่งแวดล้อมก็ได้ด้วย อันนี้ก็ได้สองต่อ
ความรู้พวกนี้ถามได้ที่ สสว. ค่ะ เพราะว่าความรู้เหล่านี้ถ้าคุณจะไปค้นหาในกูเกิ้ล มันก็จะเป็นความรู้เป็นหย่อมๆ เช่น โรงงานเราจะทำอะไร โรงงานมันก็มีหลายประเภท จะผลิตสินค้า ผลิตเสื้อผ้า ผลิตกระบอกน้ำผลิตกระเป๋า มันก็คือการผลิตแต่มันมีสเปคหรือรายละเอียดที่ค่อนข้างเยอะ คุณจะไปหาในกูเกิ้ลเพื่อจะบอกว่าโรงงานฉันเหมาะที่จะทำเรื่องความยั่งยืนในมิติไหน ค่อนข้างยากแต่ถ้าเกิดกลับมาถามที่ สสว. นุ่นยกหูหาบ่อยค่ะ เบอร์คอลเซ็นเตอร์นุ่นโทรหาบ่อยมาก เพราะบางทีข้อกฎหมายที่สนับสนุน SMS ที่จะเป็นข้อเอื้อสำหรับผู้ประกอบการที่อยากจะทำเรื่องสิ่งแวดล้อม เรามันตัวเล็กตัวน้อยถ้าเกิดข้อกฎหมายบางอย่างเอื้อผลประโยชน์บางอย่างให้เรา แต่พูดตรงๆ นะคะภาษากฎหมายเข้าใจยากมาก ภาษาไทยซึ่งแปลค่อนข้างไม่เข้าใจจะยกหูถามบ่อยมากว่าอันนี้ ด้วยขนาด ไซส์ S เท่านี้ ธุรกิจประมาณนี้ สามารถที่จะใช้ผลประโยชน์หรือข้อสิทธิพิเศษบางอย่างของกฎหมายได้หรือไม่ อันนี้เป็นสิ่งที่นุ่นมองว่าบางอย่างไม่จำเป็นที่จะต้องลงไปบุกป่าฝ่าดงแล้วก็หาด้วยตัวเอง มีคนที่จะซัพพอร์ตให้เราอยู่แล้วค่ะ
เสริมนิดนึง ถ้าเกิดยังนึกไม่ออกว่าในกระบวนการผลิตหรือการได้มาซึ่งสินค้าและบริการของเรามันจะทำยังไงได้บ้าง อันนึงที่นุ่นแนะนำง่ายมากเลยค่ะ เริ่มจากคนในองค์กร คนในองค์กรเองคือพนักงานในองค์กร ง่ายๆ เลยนะคะถ้าเกิดบางท่านอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หรือว่าต้องทำเกี่ยวกับรายงานความยั่งยืน โอเคสโคปหนึ่งสโคปสองเป็นสิ่งที่ค่อนข้างง่าย มีจ่ายค่าไฟคำนวณได้อยู่แล้ว ซื้อของมาคำนวณได้อยู่แล้ว แต่สโคปสามคือการมีส่วนร่วมของคนในองค์กร ไม่ว่าจะเป็น พนักงานที่ใช้ชีวิตอยู่ในออฟฟิศ เพราะว่าพนักงานใช้ชีวิตอยู่ในออฟฟิศเอาจริงเยอะกว่าอยู่บ้าน การที่เขาใช้เวลาอยู่ในออฟฟิศแล้วเขาใช้ชีวิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น การปิดน้ำปิดไฟการแยกขยะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ถ้าเกิดคุณสามารถชวนเขาทำสิ่งนี้ได้มัน คือเรื่องที่ง่ายที่สุดแล้วมันสามารถเป็นข้อมูลได้
อันนี้นุ่นแอบแชร์เร็วๆ ว่า อันนี้คือสิ่งที่แพลตฟอร์มนุ่นทำ คือเราสามารถแท็กกิจกรรมของคนในองค์กรว่าจะทำในเรื่องของการแยกขยะ การลดการใช้พลาสติกใช้ครั้งเดียวหรือใดใดก็ตาม เพื่อเอามาดูว่าสุดท้ายแล้วคุณมี หรือบริษัทคุณเององค์กรของคุณเองช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปเท่าไร มีการเอ็นเกจของพนักงานในมิติไหนได้บ้าง อันนี้เป็นสิ่งที่นุ่นมองว่าเรื่องความยั่งยืนก่อนที่จะทำอะไรทำกับคนข้างในก่อนค่ะ
ด้าน คุณเก่ง ธีระพงศ์ เจ้าของสมุนไพรหงส์ไทย กล่าวว่า จริงๆ ตรงนี้มันก็แล้วแต่ผู้ผลิตจะวางแผนแล้วก็จะคิด ส่วนของหงส์ไทยเราวางแผนตั้งแต่ต้นแล้วก็คิดมาตลอดว่าสิ่งหนึ่งที่มันจะเกิดความยั่งยืนมันก็คือการที่เราบวกค่าการตลาด เรื่องของการบวกคุณภาพคือเวลาเราทำธุรกิจเราอาจจะคิดต้นทุนบวกกำไร แต่หงส์ไทยไม่ได้คิดอย่างนั้น หงส์ไทยคิดต้นทุนแล้วต้นทุนต้องเป็นต้นทุนที่เลือกมาจากผลิตภัณฑ์หรือวัตถุดิบที่ดีก่อน ต้นทุนมันก็จะสูงแหละถูกไหมครับ เสร็จแล้วเราบวกค่าการพัฒนาเข้าไปเลย สินค้าของหงส์ไทยก็เลยไม่ได้ขายตามราคาตลาด บางคนบอกว่าทำไมสินค้าคุณต้องแพงกว่าตลาด ถ้าเราเท่ากับตลาดเราก็เป็นเหมือนตลาด มันก็ไม่มีความแตกต่างอะไร แต่ถ้าอยากจะให้สินค้ามันแตกต่างเราก็ต้องบวกค่าการตลาดคือบวกตัวคุณภาพเข้าไปเลย แล้วตัวคุณภาพนี้มันก็จะแบ่งออกเป็นเหมือนต้นทุนที่เราไปทำ
ปัจจุบันนี้เรามีการปลูกป่ามีการซื้อป่าเลย ซื้อที่สกลนครเป็นป่ามาเลยมีโคกหนองนามีคลอง ซื้อเสร็จแล้วเราก็อนุรักษ์แต่อนุรักษ์นี่คือไม่ทำลายในสภาพแวดล้อมที่เขาเป็นอยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราจะเคลียร์แค่ในส่วนที่เราจะเติมเข้าไปในของบริษัท ซื้อมาแล้วเรามีต้นไม้ประมาณ2-3 หมื่นต้น อันนี้คือเสร็จเลยซื้อปุ๊บสำเร็จเลย สำเร็จเสร็จแล้วเราก็เอามาบริหารจัดการ ส่วนหนึ่งที่เรายังมีนโยบายที่อยู่ในส่วนของความยั่งยืนเราจะเพาะต้นกล้าในตัวสมุนไพรที่เราใช้ แล้วก็ให้ชาวบ้านหนึ่งปี 10 รายมารับต้นกล้าของเรานำไปปลูก แล้วถึงเวลาก็มาส่งเรา อันนี้ก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่เราสามารถที่จะลดต้นทุนของเราได้ในอนาคต ทีนี้โครงการพวกนี้เกิดขึ้นมาประมาณ 5-6 ปี จนปัจจุบันนี้ได้ก่อตั้งแผนกสมุนไพรเป็นเรื่องเป็นราวแล้วเพื่อจะทำให้โครงการของเรา ได้กระจายต้นกล้าที่เราใช้สมุนไพรของเราเอง ที่เราตั้งเอาไว้นะครับก็ประมาณ 50 รายต่อสาขา มี 4 สาขาก็ 200 เกษตรกรก็จะประมาณ 200 ผู้ประกอบการที่จะรับต้นกล้าจากบริษัทนำไปปลูกแล้วก็นำมาส่ง
กระบวนการพวกนี้มันก็เซ็ตมาจากทุนที่เรามีการบวกค่าบริหารจัดการ เพื่อให้ตัววัตถุดิบเอยตัวอนาคตเอยแล้วก็คุณภาพ ผมอยากจะบอกว่าเวลาที่เราจะผลิตอะไรก็แล้วแต่ เราอย่าไปมองแค่การตีราคา เพราะการตีราคาคือไม่มีอนาคต ที่ไม่มีอนาคตเพราะมันจะอยู่ปัจจุบัน เราจะต้องสร้างอนาคตและอนาคตมันต้องดีกว่าปัจจุบัน นี่คือส่วนหนึ่งที่ทางหงส์ไทยไม่เชื่อวิถีการตีราคา ใครตีราคาเราไม่ยุ่งเลย ใครจะส่งเท่าไหร่ขายเท่าไหร่เป็นส่วนของเพื่อนๆ ไป แต่ส่วนของเราเองเราเชื่ออย่างหนึ่งคือเราต้องพัฒนา ต้องพัฒนาให้ดีกว่าเดิมเพื่อให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่เราได้ประโยชน์สูงสุด ถ้าเราได้ประโยชน์สูงสุด แปลว่าคุณภาพจะน้อยสุด
แต่ถ้าผู้บริโภคได้ประโยชน์สูงสุด คุณภาพต้องมาก กำไรมันน้อย ให้กำไรมันน้อยแต่ยอดขายก็มาก จริงๆ แล้วมันชดเชยอยู่แล้วนะ แต่สูตรของการทำธุรกิจกลายเป็นไปโฟกัสที่จะต้องมีกำไรมาก กลายเป็นว่ามีกำไรมากก็กลายเป็นคุณภาพน้อย ตรงนี้ก็อยากจะบอกไว้เลยว่าการทำธุรกิจไม่ว่าอาชีพใดๆ ก็แล้วแต่ มันจะมีความสำเร็จอยู่ในอาชีพนั้น แต่อยู่ที่ว่าเราเข้าใจแล้วเราจะเดินเส้นทางไหน ถ้าเราเดินเส้นทางที่เราเข้าใจแค่กำไร ยอดขายน้อย แต่ถ้าเราต้องการยอดขายมาก คุณภาพต้องมาก แล้วการสร้างแบรนด์ก็มีองค์ประกอบกับตัวคุณภาพ
ถ้าจะทำธุรกิจเราสร้างแบรนด์คุณต้องสร้างคุณภาพก่อนที่คุณจะสร้างแบรนด์ ถ้าคุณสร้างคุณภาพเสร็จ การสร้างแบรนด์มันให้คุณโดยปริยายเลย ตรงนี้ก็จะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทางเราเองมีต้นทุนค่อนข้างเยอะ แต่เราเองบวกค่าการตลาดมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว จนทำให้ปัจจุบันนี้ถามว่าเรามีปัญหาไหม จริงๆ แล้วเราไม่มีปัญหา ที่ไม่มีเพราะว่าลูกค้าคุ้นเคยกับต้นทุนของเรา แล้วในแบบฉบับที่เป็นเรา คือเวลาเราสร้างธุรกิจหรือสร้างการค้าขึ้นมาเราต้องให้ลูกค้ายอมรับเรา ไม่ใช่ยอมรับราคา ถ้ายอมรับราคาถามว่าเราจะพัฒนาได้อย่างไรถูกไหมครับ ถ้าเกิดเขาส่งกันอยู่ที่ 35 เรามาเราก็ 35 หรือเราจะมา 30 สูตรของที่เคยเจอมาก็จะมาตีราคาเจ้าเดิมเจ้าเก่า ตีราคาลงแข่งกันตีราคา ไม่ได้แข่งกันพัฒนาถูกไหมครับ อันนี้สูตรจะไม่เหมือนของกินสูตรเราจะเหมือนของใช้ที่มันใช้แล้วมันต้องต้องใช้ตลอดใช้ระยะเวลา สิ่งหนึ่งที่เป็นความภูมิใจขององค์กร เรามีคติอยู่อย่างหนึ่งคือ ซื้อไปแล้วต้องใช้ ไม่ใช่ซื้อไปแล้วเอาไปเก็บนะครับ อันนี้เป็นส่วนหนึ่งที่เรายึดแล้วก็ปัจจุบันนี้ก็ยังพัฒนาสินค้าอยู่ครับ
ปัญหาและอุปสรรคที่เจอ เมื่อเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ธุรกิจสีเขียว
ส่วนใหญ่นุ่นว่าน่าจะเป็นเรื่องของการไม่รู้ว่าตัวเองควรจะต้องทำยังไง เพราะสุดท้ายแล้วจะไปติดกับดักคำว่าการฟอกเขียว เพราะเห็นว่าหลายๆ คนทำสิ่งนี้กันเราก็เลยอยากที่จะทำสิ่งนี้เพราะคิดว่าเป็นเทรนด์ นุ่นว่าสิ่งหนึ่งที่ยังขาดอยู่คือเรื่องความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ว่าความยั่งยืนมันกว้างยิ่งกว่าสิ่งแวดล้อม ทุกวันนี้คนจะเข้าใจคำว่าความยั่งยืนคือ แยกขยะ ลดการใช้วัสดุวัตถุดิบบางอย่าง แต่จริงๆ แล้วมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งซับเซ็ตหนึ่งของเรื่องความยั่งยืนทั้งหมด อย่างที่นุ่นบอกเมื่อสักครู่ว่าแต่ละธุรกิจมีความเฉพาะด้านของตัวเอง แล้วแต่ละธุรกิจเองความยั่งยืนไม่จำเป็นต้องไปปลูกต้นไม้ ไม่จำเป็นต้องไปชวนทำอย่างนั้นอย่างนี้ คุณอาจจะทำในสิ่งหนึ่งตั้งแต่ต้นทาง คุณอาจจะทำสิ่งหนึ่งของคนในองค์กรคุณเองก็ได้ ถ้าถามว่าขาดอะไร นุ่นว่าขาดองค์ความรู้ ที่ไม่ใช่ว่าไม่รู้นะเพราะว่าเวลาคนไปค้นหาคุณจะเจอคำว่าความยั่งยืนมันคือแบบนี้ แต่ไม่มีคนที่จะคอยแนะนำว่าแล้วธุรกิจของเราเหมาะที่จะทำความยั่งยืนในแบบไหนมากกว่า และความยั่งยืนแต่ละแบบมันเหมาะกับเราจริงหรือเปล่า
บางคนอาจจะเหมาะกับทำสิ่งนี้ บางคนในธุรกิจคล้ายๆ กันแต่ไม่เหมาะ เพราะว่าถ้าเกิดคุณทำสิ่งนี้ปุ๊บ เอาจริงมันจะมีเรื่องแบบนี้ด้วยนะคะ ทำธุรกิจแบบนี้อุ ตสาหกรรมนี้มีเจ้าภาพใหญ่ เขาทำเรื่องความยั่งยืนไปแล้ว ถ้าเกิดเราจะทำเรื่องความยั่งยืนในสิ่งเดียวกัน เราก็ไม่ได้เป็นข่าวน่ะสิ มันก็จะดูไม่ฉายแสง ไม่เก๋ แล้วเวลาทำข่าวกลายเป็นว่าเขาก็ไปเทให้ภาพใหญ่ คนก็จะไม่จำ ทุกคนเวลาทำธุรกิจนุ่นเชื่อว่าเราอยากเป็นเบอร์หนึ่ง ลึกๆ เราก็อยากเป็นเบอร์หนึ่งในพื้นที่ของเรา ดังนั้นนุ่นว่าสิ่งหนึ่งก็คืออาจจะต้องกลับไปดูตัวเองว่าของเราเหมาะที่จะเป็นเรื่องความยั่งยืนในมิติไหน ซึ่งนุ่นว่าอันนี้เป็นเพนพอยท์ที่เจอมาโดยตลอด แล้วย้ำให้ค่ะกลับมาถามที่สสว. ได้ เพราะว่าเขาจะเป็นคนช่วยบอกแล้วก็แนะนำให้ว่าธุรกิจแบบเราเอง ไม่ว่าจะเป็นไซด์ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ทุกที่มีเพนที่ไม่ซ้ำกันทั้งนั้นเลย อันนี้เป็นสิ่งที่นุ่นพบเจอนะคะ
มันไม่ใช่เทรนด์ แต่มันเป็นสิ่งที่ต้องทำ มันขนาดนั้นจริงๆ เพราะว่าทุกวันนี้ในข้อกฎหมายเอง ถ้าคุณอยากเข้าตลาดหลักทรัพย์คุณจะต้องมีรายงานความยั่งยืน และรายงานความยั่งยืนตอนนี้มันยังเป็นแค่สโคปหนึ่งกับสโคปสอง ส่วนสโคปสามกำลังตามมาติดๆ ดังนั้นเราเห็นเลยว่าเทรนด์ มันไม่ใช่แค่ประเทศไทยด้วยซ้ำ ถ้าเราเห็นข่าวต่างประเทศทุกที่ ยิ่งเวลาเราอยากเป็นผู้ประกอบการ อยากจะทำธุรกิจส่งออก มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อให้ในประเทศไทยเราอาจจะหลวมๆ หยวนๆ จะทำในปีนี้แต่ยังไม่พร้อม ขยับได้ แต่สุดท้ายแล้วมันต้องทำอยู่ดี แล้วมันเป็นทางที่เราต้องทำค่ะ นุ่นศิรพันธ์กล่าว
คำแนะนำสำหรับ SME จากหงส์ไทย
คำแนะนำส่วนหนึ่งเป็นแค่องค์ประกอบ แต่ละหลักๆ ของคำแนะนำจริงๆ มาจากความรู้ของแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน เส้นทางเจออุปสรรคก็ไม่เหมือนกัน แต่ผมอยากจะเติมเต็มให้ว่า ถ้ารู้แล้วผมอยากให้ทำ ผมไม่ได้อยากให้เป็นแค่ความคิด ถ้าเกิดว่าเราเข้าใจมันแต่เราคิดแล้วเราไม่ลงมือทำ ประเทศเราความสำเร็จมันหายไปมากๆ เลยก็คือคิดว่าดี คิดว่าเก่ง คิดว่าแน่ คิดว่าเหนือ คิดว่าเก่งกว่าคนข้างๆ แต่สุดแล้วมันเป็นแค่ความคิด ผมอยากจะสนับสนุนนะครับ SME ทั้งหลายว่าถ้าคิดแล้วว่าดีผมอยากสนับสนุนให้ลงมือทำ เพราะผมบอกเลยว่าถ้าลงมือทำแล้วไม่สำเร็จ แต่สิ่งหนึ่งที่มันสำเร็จคือมันจะสร้างผู้เชี่ยวชาญให้เกิดขึ้นในประเทศเราได้มากกว่านี้อีกมหาศาล ผมเองเป็นคนหนึ่งที่ผมคิดแล้วทำ ถึงวันนี้ยังไม่สำเร็จผมก็ยังไม่เลิก ผมจะพยายามทำให้สำเร็จ เพราะเรายังมีเวลาให้สำเร็จ แต่ถ้าเป็นแค่ความคิดมันไม่รู้เลยว่าจะสำเร็จหรือเปล่า แต่เราหลงตัวเองว่าสำเร็จเพราะความคิดอยู่ในความคิด ไม่ได้สำเร็จเพราะการกระทำครับ คุณเก่ง ธีระพงศ์ ผู้ก่อตั้งและเจ้าของบริษัท สมุนไพรหงส์ไทย กล่าว
Advertisement