คิดใหญ่ ทำจริง เปิด Mindset SME กับ สสว. จากเจ้าของ "สุกี้ตี๋น้อย" และ "ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน" จากธุรกิจเล็กๆ สู่ธุรกิจพันล้านในวันนี้
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จัดกิจกรรม “เพื่อน SME” ณ Chang Canvas ชั้น 1 One Bangkok Forum เพื่อเผยแพร่บทบาทและภารกิจขององค์กรพร้อมสร้างภาพลักษณ์ที่เข้มแข็งในฐานะหน่วยงานหลักที่อยู่เคียงข้างผู้ประกอบการ SME ไทย โดยกิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและส่งเสริม "Green Business" หรือธุรกิจสีเขียว อันเป็นกลยุทธ์แห่งอนาคต
ภายในงานมีการเสวนาเรื่อง "คิดใหญ่ ทำจริง เปิด Mindset SME สู่ธุรกิจพันล้าน" โดยได้รับเกียรติจาก คุณนัทธมน พิศาลกิจวนิช เจ้าของแบรนด์ "สุกี้ตี๋น้อย" และ คุณพันทิพย์ ดีเจริญ ผู้ปั้นแบรนด์ "ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน" มาแชร์ประสบการณ์การทำธุรกิจ จากแบรนด์ที่เริ่มต้นเล็กๆ แต่สามารถขยายสู่ธุรกิจพันล้าน พร้อมถ่ายทอดวิธีคิดเชิงกลยุทธ์ด้านการ Scale-up การสร้างแบรนด์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ และการสร้างโอกาสทางการตลาดแบบก้าวกระโดด
คุณนัทธมน พิศาลกิจวนิช เจ้าของแบรนด์ "สุกี้ตี๋น้อย" เผยว่า ทุกวันนี้ตนยังไม่รู้สึกว่าประสบความสำเร็จในแบบที่พึงพอใจ แต่มีความภาคภูมิใจว่ามาถึงตรงนี้มันก็เหมือนฝันจริง ๆ เพราะเริ่มต้นทำธุรกิจตอนอายุ 25 ปี หรือเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ร้านสาขาแรกมีอยู่แค่ 15 โต๊ะ ไม่ได้ลงทุนอะไรมากมาย แล้วก็ไม่ได้มีใครรู้จัก ต้องจ้างคนแถวนั้นมานั่งรับปนะทาน คือเรียกว่ามานั่งรับประทานฟรีแล้วให้ช่วยรีวิว วันหนึ่งได้ลูกค้า 50 หัวก็ดีใจแล้ว แต่ทุกวันนี้สุกี้ตี๋น้อยมีลูกค้าประมาณแสนคนต่อวันรวมทุกสาขา
จุดเริ่มต้นสุกี้ตี๋น้อย ณ ตอนนั้น ร้านบุฟเฟต์สุกี้มันอยู่มานานแล้ว แต่ว่ามันอาจจะไม่ได้มีเป็นแบรนด์ที่แบบมีหลายสาขา สิ่งที่เห็น ณ ตอนนั้นมันมีสุกี้ 199 บาท มันก็อร่อย แต่ว่าก่อนที่เราจะเข้าไป อาจจะสงสัยว่าคุณภาพ วัตถุดิบ การบริการจะเป็นยังไง รวมทั้งที่จอดรถ แอร์อาจจะไม่มี เหมือนต้องบริการตัวเอง เดินตักเอง เราเห็นว่าตรงนี้มันยังมีช่องว่างที่ว่าราคา 199 บาท มันยังไม่ที่ไหนทำให้ความรู้สึกเหมือนไปกินที่ร้านในห้าง มันยังไม่มีใครทำแบบนี้ แล้วในตัวของอาหารเอง 199 บาท ตอนนั้นก็อาจจะแบบไม่ได้มีฟูลออปชัน อาจจะมีแค่หมู แต่ไม่ได้ชีส เนื้อวัว อาหารทะเลก็อาจจะไม่ได้ครบ เลยมองว่าถ้าเราจะแข่งได้ ถ้าเราจะทำธุรกิจให้มันสเกลใหญ่ขึ้นได้ คุณต้องมีอะไรที่คนอื่นไม่มี ก็เลยลงมือทำ มีเนื้อวัว มีอาหารทะเล มีพนักงานบริการ มีที่จอดรถ มีแอร์เย็นสบาย
ตนมีเป้าหมายกับตนเองว่า ไม่อยากเป็นเจ้าของร้านที่มีอยู่ 1 ร้าน แล้วนั่งเฝ้าร้านแบบนั้น แต่อยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต ถ้าเราจะสเกลได้ ถ้าเราอยากจะสามารถขยายไปทั่วประเทศไทยได้ ก็ต้องทำอะไรที่ ราคามันจับต้องได้ ถ้าขายราคาหลายร้อยบาท มันก็อาจอยู่ได้แค่ในกรุงเทพฯ ถ้าอยากจะรับลูกค้าทั่วประเทศ ดังนั้นราคาก็ต้องเป็นอะไรที่จับต้องได้ทุกจังหวัด ถ้าเราจะเป็นที่ 1 เราจะแข่งขัน ให้คนคิดถึงเรา เราก็ต้องมีอะไรที่ดี ที่อื่นไม่มี
ถ้าให้พูดถึงปัญหาวันนี้ก็คงพูดไม่หมด เพราะว่าปัญหามันเยอะมาก แล้วก็การสเกลคือไม่ง่าย มันมีปัญหาในทุกช่วงทุกขั้นตอน ช่วงเริ่มต้นทำเองทุกขั้นตอนเป็นเหมือนเจ้าของร้านทั่วไป เสิร์ฟเอง ยืนเป็นแคชเชียร์ รับออร์เดอร์ เตรียมอาหาร ไปซื้อของ สัมภาษณ์งาน รับพนักงานเอง แล้วเริ่มเห็นช่องโหว่ มีจุดเสี่ยง หากจะต้องขยายสาขา เลยนึกถึงช่วง 3 ปีแรกที่เป็นพนักงานออฟฟิศว่าเขามีแผนกอะไรบ้าง แต่ตนก็ยังไม่มีเวินทุนพอจะรับคนได้มากขนาดนั้น จึงค่อยๆ เริ่มรับพนักงานมารับผิดชอบงานบางส่วน ค่อยๆ แก้ปัญหาไปตามเพนพอยต์ แล้วพยายามไม่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเดียว ต้องอุดรอยรั่วป้องกันไว้ก่อน เช่น คุณภาพอาหาร ตัวเราเองรู้ว่าอะไรสด อะไรไม่สด แต่จะสอนเป็นคนๆ มันก็สอนกันไม่ไหว พอจำนวนพนักงานเยอะขึ้นเรื่อยๆ สาขาเยอะขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องทีมประกันคุณภาพ เป็นทีมที่ทำเอกสารว่าแต่ละหน่วย แต่ละจุดงาน ต้องมีวิธีมาตรฐานของการทำงานยังไงบ้าง แล้วก็เข้าไปสุ่มตรวจทุกเดือน เดือนละ 2 รอบ รวมถึงการจ้างคนนอกมาตรวจสอบ เพราะเขาจะรู้ว่าควรจะตรวจอะไรบ้างในร้านของเราในช่วงที่เราไม่ได้มีความรู้โกลบอล สแตนดาร์ด เพราะว่าเราฝันใหญ่ เราไม่รู้ว่าจะทำอะไรยังไง ดังนั้นเราก็ต้องไปหาคนที่เก่งมาให้ความรู้ รวมถึงฝ่ายทรัพยากรบุคคล บัญชี เทรนนิ่ง พอเราทำคนเดียวไม่ได้เราก็ต้องสร้างคน สร้างบุคลากรมาเรื่อยๆ ทุกวันนี้ถึงแม้ว่าอาจจะดูใหญ่ มีหลายสาขา ด้วยยอดขายหรืออะไรก็ตาม แต่ปัญหามันยังมีทุกวัน เราก็ต้องทำงานหนักกันทุกวัน ไม่ได้สบาย เราก็ต้องสู้กันต่อไป
คุณนัทธมน เผยอีกว่า ตลาดสุกี้บุฟเฟต์ตอนนี้คึกคักมาก รู้สึกสนุกมากเพราะแบรนด์เยอะขึ้น ลูกค้าก็เยอะขึ้นตามไปด้วย เราพยายามหาสิ่งที่ดีที่สุด มีอะไรใหม่ๆ มาตลอด เพราะว่าอยากให้ลูกค้ามาหาเราบ่อยๆ ส่วนเรื่อง "สงครามราคา" อยากจะบอกว่าสุกี้ตี๋น้อย ตั้งแต่เดย์วัน เราขาย 199 บาทอยู่แล้ว มีช่วงโควิดที่ปรับราคาขึ้นตามวัตถุดิบและค่าใช้จ่าย ณ วันนี้ที่กลับมาราคา 199 บาท มันเป็นโปรโมชั่นที่เราเหมือนอยากจะย้อนกลับไปในวันแรกเคยเริ่มทำธุรกิจ
ตอนนี้เราก็ลงทุนการสร้างครัวกลางเกือบพันล้าน เพราะเราอยากผลิตเป็นของตัวเอง เราทำเมนู น้ำซุป น้ำจิ้มเอง เพื่อรองรับในการขยายไปในอนาคต จะได้ควบคุมคุณภาพได้ ถ้าไม่คิดถึงความยั่งยืน คงไม่ลงทุน แต่มันเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต เรามีทีมข้อมูลที่วิเคราะห์แล้วว่า เราจะทำอะไร โปรโมชั่นเท่าไหร่ เราเหลือเาไหร่ เราจะไม่ตัดตัวเอง เพื่อตายในระยะสั้น ทุกอย่างที่เราทำ เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไร เรารู้ว่าเราจะได้อะไร แล้วเป้าหมายของเราคืออะไร เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ได้อยู่ในสงครามราคา
แบรนด์สุกี้ตี๋น้อย ไม่เคยใช้คำว่า บุฟเฟต์สุกี้ในราคาถูก แต่ใช้คำว่า คุ้มค่า เพราะว่าถึงแม้ว่าจะขายราคาถูก แต่ว่ามันก็สามารถแพงได้ในความรู้สึกของลูกค้า ลูกค้าต้องรู้สึกว่าสิ่งที่ลูกค้าได้รับมันมากกว่าสิ่งที่จ่ายไป เวลาลูกค้าพูดว่า วันนี้ฉันจะมาถล่มสุกี้ตี๋น้อย จะรู้สึกชอบมากที่เขาคิดแบบนี้ เพราะแสดงว่าลูกค้าแฮปปี้กับราคาและคุณภาพ
แล้วทุกวันนี้โซเชียลสื่อสารกันไว ดังนั้นเราต้องมอบความจริงใจให้กับลูกค้า ให้ลูกค้ารู้สึกว่ามันคุ้มค่าสำหรับเขา มันเป็นส่วนสำคัญมากๆ ในทุกธุรกิจ การทำร้านอาหาร ยังไงก็ต้องอร่อย แต่ว่าความอร่อยมันจะไม่ได้แปลว่าร้านเราจะยั่งยืน หรือจะอยู่ได้ไปตลอด มันต้องทำให้ลูกค้าอยากกลับมาใช้ซ้ำ ให้ความคุ้มค่าให้มากที่สุดในเศรษฐกิจแบบนี้
ขณะเดียวกัน คุณพันทิพย์ ดีเจริญ ผู้ปั้นแบรนด์ "ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน" ได้เผยว่า ตนเริ่มทำธุรกิจตอนอายุ 25 ปี เช่นกัน คือช่วงหลังโควิดพอดี ซึ่งเป็นช่วงเวลากระแสคาเฟ่บูมขึ้นมา คาเฟ่เกิดใหม่เยอะมาก งบในการทำมันค่อนข้างเยอะ แล้วคาเฟ่ไม่สามารถทำแล้วอยู่ได้ตลอดไป ต้องมีการพัฒนา ต้องปรับเปลี่ยนเรื่อยๆ ค่ะ ซึ่งรู้สึกว่ามันค่อนข้างยากสำหรับเรา แล้วเราไม่ได้มีความเข้าใจมันมากขนาดนั้น แล้วด้วยความเป็นคนนครศรีธรรมราช มีความคุ้นเคยกับตัวชาเย็น ซึ่งมันเป็นรากของคนไทยอยู่แล้ว คนไทยจะเข้าใจ แล้วก็รับรู้ถึงตัวรสชาตินี้อยู่แล้ว แต่ว่าในกรุงเทพฯ ยังไม่มีรสชาติที่มันตอบโจทย์ เป็นรสชาติที่เข้มข้น แล้วก็ทานได้ทุกวัน มีความเป็นวัยรุ่น ก็เลยเลือกที่จะดึงพฤติกรรมลูกค้า หรือช่วงว่าการตลาดที่มันยังไม่มีใครทำในจุดนั้น เราก็เลยเลือกที่จะทำแบรนด์ให้มันดูซิงเกิ้ลที่สุด แล้วก็ลูกค้ามองเห็นว่าเรามีความครีเอทีฟ แล้วก็มีความน่าสนใจ การที่เราเพิ่มเมนูใหม่ๆ เข้าไป หรือว่าการที่เราอาจหยิบจับตัวเมนูชาไทยออกมาเป็นเมนูอื่นๆ ในการสร้างสรรค์มันให้มันมีความน่าสนใจ แล้วก็มีความตื่นเต้น เราก็เลยเฟ้นหาตัวใบชา แล้วก็ตัวส่วนผสมของชาให้มันใกล้เคียงกับรสชาติที่เรากินในตอนเด็ก คือชาของนครศรีธรรมราชจะมีความเข้ม แต่ว่าไม่ได้ขม เราก็เลยเลือกชาภาคใต้ผสมกับชาภาคกลางให้มันละมุนทานได้ทุกวัน
ส่วนเรื่องชื่อ "ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน" ที่อาจจะดูแล้วยาว ด้วยความที่เรียนจบมาร์เก็ตติ้ง เราก็รู้ว่าชื่อมันต้องอ่านง่าย จดจำง่าย พยางค์ไม่ต้องเยอะ แต่พอเรามาเจาะดูจริงๆ ว่าลูกค้ามีพฤติกรรมแบบไหน ก็เลยเลือกที่จะใช้ชื่อนี้ เพราะว่าลูกค้าที่กินชายเย็นทุกวัน เขากินทุกวันจริงๆ แล้วเราเชื่อว่าชื่อนี้จะทำให้เขาจำได้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยากกิน แต่เขาก็ต้องอยากกินสักวัน เพราะว่าเขาเห็นตัวชื่อนี้ เห็นแบรนดิ้งนี้บ่อยๆ มันทำให้เกิดภาพจำขึ้นมา ในส่วนตัวแล้ว มองว่า ชาเย็น อาจจะเป็นสี อาจจะเป็นกลิ่น อาจจะเป็นภาพ อาจจะเป็นรสชาติ ที่แบบมันไม่ได้จำกัดอยู่แค่เครื่องดื่มอย่างเดียว เราสามารถนำชาเย็นไปใช้ได้หลากหลายมากๆ เช่น ขนม
ส่วนเรื่องการขยายสาขา ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน ขยายสเกลไวมาก หลังจากไวรัลบนโซเชียลเพียงแค่ 1 ปี โตถึง 17 สาขา เหมือนพอมันมีโอกาสเข้ามาแล้วพยายามคว้าเอาไว้ แต่ว่าข้อเสียคือจำนวนบุคลากรมันอาจจะยังไม่ได้โตเร็วพอกับธุรกิจ จึงต้องพยายามที่จะโตให้ทัน เราก็พัฒนาตัวเองเยอะมาก เริ่มศึกษาหรือหาคนที่เขามีความรู้มาช่วย ส่วนในเรื่องโซเชียล เราทำแบรนด์วัยรุ่น มันก็จะขึ้นอยู่กับไวรัลในการทำมาร์เก็ตติ้ง เราต้องทำให้ลูกค้าจดจำได้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เราต้องรู้ว่าลูกค้าเราเป็นใคร ต้องการอะไร ต้องการจะเห็นภาพไหน เราก็จะพัฒนาไปตามนั้น เราต้องโฟกับลูกค้าเราให้ถูก ให้ลูกค้าเราจดจำได้ไปนานๆ คราวนี้มันก็คือจะเป็นโจทย์ที่ว่าในทุกแคมเปญ เราต้องพยายามให้ลูกค้าจดจำเราได้ ด้วยการใช้โซเชียลมีเดียหรือว่าการพัฒนาโปรดัคท์ หรือนำตัวเองไปอยู่กับเจ้าอื่น ซึ่งเราจะได้ข้อมูลกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้น ตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงจุด
ปัจจุบันตนก็ยังคุยกับลูกค้า ยังมองเห็นการความต้องการลูกค้าอยู่ หลักๆ คือ ถ้าเรายังตัวเล็กอยู่ สิ่งสำคัญก็คือเราต้องอยู่กับลูกค้าทุกวัน พยายามสำรวจว่าลูกค้าต้องการอะไร พัฒนาร้านให้ลูกค้าแฮปปี้ คุณภาพต้องไม่หลุด ต้องมีอะไรใหม่ๆ เข้ามา ทุกวันนี้มีโซเชียลมีเดีย เราสามารถเสิร์ชหาข้อมูลได้ว่า ลูกค้าพูดถึงเราอย่างไร มีคีย์เวิร์ดหรือกิจกรรมอะไรไหม มันเป็นการศึกษาพฤติกรรมว่าลูกค้าต้องการอะไร และคิดอย่างไรกับเรา
ส่วนในเรื่องของสินค้า ณ ปัจจุบัน มันต้องน่าถ่ายรูป หรือมีศัพท์สมัยนี้ที่เรียกว่า Instagrammable อาหารจะต้องหน้าตาสวย น่าถ่ายรูปอัพลงโซเชียลมีเดีย ซึ่งอันนี้เป็นหลักสำคัญอย่างหนึ่งของเรา เพราะลูกค้าเราคือวัยรุ่น เราจึงต้องให้ความสำคัญกับการออกแบบ เพราะวัยรุ่นมีความชอบลงโซเชียล ชอบแชร์ เราก็เลยเลือกที่จะทำสินค้าให้ออกมาดูดี มีเซอร์ไพรส์ มีคัพสลิป มีคำแบบกวนๆ คำที่น่าจดจำ นำไปใช้ ไปแชร์ต่อได้
ส่วนการนำโปรดัคท์ของเราไปคอลแลบกับเจ้าอื่น สิ่งสำคัญคือ เราต้องชัดแต่แรกแล้วว่าเราเป็นใคร แล้วแบรนด์ดิ้งเราต้องชัดเจน รู้ว่าขายให้ใคร ต้องการทำอะไรอะ พฤติกรรมลูกค้าสมัยนี้เริ่มโฟกัสกับแบรนด์ที่เป็นสเปเชียลลิสต์ในด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ลูกค้ามั่นใจ เชื่อใจ ถ้าเรามีตรงนี้ การที่เราจะมีคนมาคอลแลบ มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก ซึ่งช่วงปีที่แล้วเป็นปีที่แบบว่าเราไม่ได้ไปเสนอคอลแลบแต่ว่ามันมีคนวิ่งเข้ามาหาเราเอง มันทำให้เรารู้สึกว่าแบรนด์เราค่อนข้างประสบความสำเร็จ มีลูกค้ากลุ่มอื่นๆ จากแบรนด์ที่เราไปร่วมงานด้วยเข้ามาเพิ่มขึ้น
เป้าหมายของเราคือทำให้แบรนด์อยู่ได้นานที่สุด ให้มันมีความเข้าถึงง่ายมากขึ้น แล้วก็อาจจะมีทฤษฎีใหม่ๆ เข้ามา ส่วนผู้ประกิอบการรายใหม่ อยากฝากว่า เราไม่จำเป็นต้องทำให้สเกลใหญ่ตั้งแต่แรก เราเริ่มจากเล็กๆ แบบง่ายๆ แต่อยากจะให้ทุกคนโฟกัสว่าเราอะไร ขายให้ใคร ต้องการทำอะไรตอบแทนให้ลูกค้าบ้าง ถ้าเรามีจุดมุ่งหมายชัดเจนเราจะมองเห็นลูกค้า อย่างที่พูดไป เราต้องเป็นสเปเชียลลิสต์ในด้านใดด้านหนึ่ง ถ้าเราตั้งใจที่จะทำสิ่งใดๆ แล้ว หรือว่าเลือกที่จะขายสินใดแล้ว การมีความรู้แบบเฉพาะเจาะจงจะมีผลมากกับลูกค้าและจะโฟกัสได้ถูกทาง
Advertisement