เพื่อไทย เรียกประชุมด่วนพรุ่งนี้ หลังวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญประสบปัญหา
เพื่อไทย เรียกประชุมด่วนในวันพรุ่งนี้ เพื่อพิจารณาเรื่องสำคัญ หลังวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญประสบปัญหา จับตายื่นซักฟอกหรือไม่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
วันที่ 11 ธ.ค.68 หลังจากรัฐสภามีการลงมติร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 256/28 โดยมีมติไม่เห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมากในการใช้เสียงกึ่งหนึ่งของที่ประชุมรัฐสภาเห็นชอบแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยให้กลับไปใช้เสียง สว.1 ใน 3 มีส่วนร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีเสียงสส.พรรคภูมิใจไทยไปร่วมโหวตในการพลิกมติกรรมาธิการเสียงข้างมากด้วยนั้น
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า เนื่องจากมีสถานการณ์เร่งด่วน ขอนัดหมายประชุม สส. พรรคเพื่อไทย ในวันพรุ่งนี้ (12 ธ.ค.) เพื่อพิจารณาเรื่องสำคัญ ในเวลา 9.00 น. ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย
ด้านนางสาว ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ โพสต์หลังจากที่ประชุมร่วมรัฐสภามีมติเสียงข้างมากในมาตรา 256/28 เรื่องอำนาจ สว.การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะผ่านได้ ต้องได้รับเสียงเห็นชอบจาก สว. 1 ใน 3 ด้วย ก่อนที่ต่อมา จะมีการขอให้นับคะแนนใหม่แบบขานชื่อ ว่า “การที่พรรคภูมิใจไทยลงมติไปในทางเดียวกับ สว. เพื่อใส่เกณฑ์เสียง สว. 1 ใน 3 ในการรับรองรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แม้จะอ้างว่าเพื่อกันไม่ให้กระบวนการถูกคว่ำในวาระสาม แต่ผลที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม เพราะทุกคนรู้ว่าเกณฑ์นี้คือ ‘ตัวล็อก’ ที่ทำให้การร่างรัฐธรรมนูญสะดุดลงโดยง่าย และแทบเป็นไปไม่ได้เลยการตัดสินใจในครั้งนี้ ยิ่งทำให้โอกาสของการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นของประชาชนจริง ๆ หดแคบลงจนแทบไม่เหลือ และทำให้เกิดข้อสงสัยว่า สิ่งที่ภูมิใจไทยกำลังปกป้อง คือกระบวนการตามที่กล่าวอ้าง หรือ คือรัฐธรรมนูญปี 60 ที่เอื้อประโยชน์ให้คนบางกลุ่มมากกว่าประชาชนส่วนใหญ่กันแน่
ท่าทีนี้ทำให้ MOA ที่ร่วมกับพรรคประชาชน ถูกตั้งคำถามหนักขึ้นไปอีก ว่าการยกมือให้นายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี ประเทศชาติได้อะไรกลับมาตามที่สัญญาไว้บ้าง เมื่อพรรคที่ประกาศจะผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญ กลับลงมติในทางที่ปิดประตูการเปลี่ยนแปลงในอนาคตเสียเอง
หลายคนจึงรู้สึกว่า พรรคประชาชนไม่ใช่แค่ “ได้ของไม่ตรงปก” แต่กลับได้ “ของแถมที่ไม่อยากได้” ติดมือกลับมาด้วย ไว้ใจเขาเพราะคำพูด แต่สุดท้ายก็ได้มาเพียงความผิดหวัง ขณะที่อีกฝ่ายยังเดินหน้าเกมการเมืองที่ให้ประโยชน์กับตนเองอย่างไม่ลังเลผลลัพธ์ของการโหวตครั้งนี้ คือความหวังของประชาชนที่ถูกฉุดรั้งอีกครั้ง ประเทศเสียเวลา ประชาชนเสียโอกาส และกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญที่ควรเดินหน้า กลับถูกขวางโดยกลุ่มที่ไม่ยอมให้สิ่งใดเปลี่ยนเพราะอาจกระทบอำนาจของตนเอง ท้ายที่สุด จึงเหลือเพียงคำถามว่า คนที่ถูกหักหลังจะรู้ตัวเมื่อไรว่าเลือกผิดพลาด และจะกล้าออกมาขอโทษประชาชนหรือไม่ เมื่อความจริงมันชัดเจนเกินกว่าจะหลีกเลี่ยงได้ต่อไปแล้ว
Advertisement
