
(28 ต.ค. 2568) นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ การมาประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมที่เกี่ยวข้องครั้งนี้ไม่ได้มีประโยขน์แค่การค้าเท่านั้น แต่ทำให้อาเซียนเห็นว่าไทยมีความเข้มแข็งและมีความตั้งใจ ทำให้ไทยมีอนาคตเติบโตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งมีผลดีทั้งทวิภาคี และพหุภาคี ซึ่งได้คุยกันในหลายเวทีโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัล ไทยเป็นประธานในการผลักดันเรื่องนี้ จึงเตรียมจะเซ็นกับฟิลิปปินส์ด้วย
ผู้สื่อข่าวสอบถามว่าการที่ไทยลงนามกับกัมพูชามีการเสียเปรียบข้อตกลงทางเศรษฐกิจหรือไม่ นางศุภจี กล่าวว่า การที่ไทยลงนามข้อตกลงที่จะไปสู่สันติภาพกับกัมพูชา โดยมีสหรัฐอเมริกาและมาเลเซียเป็นสักขีพยาน เป็นผลดีกับไทย แม้ว่าสหรัฐฯจะใช้มาตรการทางการค้าและภาษี มากดดันให้เกิดการตกลงสันติภาพ แต่ไทยก็ได้ยืนยันว่าหากให้สำเร็จก็ต้องได้ข้อตกลงทางการค้าที่เป็นประโยชน์กับไทยด้วย โดยเฉพาะแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยกรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศไทย Joint Statement on a Framework for a United States - Thailand Agreement on Reciprocal Trade
จากที่รัฐบาลที่แล้วเคยเจรจาไว้ที่ 19 % ก็จะคุยในทางเทคนิคให้จบภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งแถลงการณ์ร่วมยังไม่มีผลทางกฏหมาย และจะรักษาผลประโยชน์ให้มากที่สุด
"เรื่อง Peace deal เป็นจุดเริ่มต้นให้เราไปถึงสันติภาพให้ได้ เราอยากคุยทวิภาคี แต่ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นขึ้น เมื่อมีพี่ใหญ่ของโลกมาเป็นพยานทำให้ทางกัมพูชาทำตามสิ่งที่เซ็นมา ใน 4 ข้อตกลงถือว่าเป็นประโยชน์กับเราไม่ว่าจะย้ายอาวุธหนัก เคลียร์ทุ่นระเบิดชายแดน ตกลงพื้นที่ที่ขัดแย้ง เมื่อมีคนกลางเป็นสักขีพยาน ก็เป็นสิ่งที่ดีมากกว่า"
นางศุภจี ไม่ปฏิเสธว่า สหรัฐฯอาจใช้เงื่อนไขการเจรจาทางการค้ามากดดันทำให้เกิดขึ้อกตกลงกันให้ได้ เพราะสหรัฐฯต้องการให้เกิดสันติภาพ ในคำกล่าวของประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ บอกด้วยว่า เขาทำงานมา 8 เดือน ยุติสงครามมา 8 ครั้ง เฉลี่ยเดือนละครั้ง
"ซึ่งสงครามไทยกัมพูชา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มองว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่ท่านอยากได้ ในเมื่อเรายังเจรจาเรื่องภาษี ถ้าเราไม่ยอมจบในการยุติสันติภาพนี้ให้ได้ อาจมีผลนะ เราต้องขอเลยว่าท่านก็ต้องตกลงกับเราเรื่องข้อตกลงการค้าให้ดีนะ เพราะเราต้องตกลงผลประโยชน์ของเราเช่นกัน" นางศุภจี กล่าวย้ำ
Advertisement