Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
"มาริษ" ชี้ ภัยสแกมเมอร์เป็นสงครามมวลมนุษยชาติ

"มาริษ" ชี้ ภัยสแกมเมอร์เป็นสงครามมวลมนุษยชาติ

25 ต.ค. 68
09:17 น.
แชร์

"มาริษ" ชี้ ภัยสแกมเมอร์เป็นสงครามมวลมนุษยชาติ แนะรัฐบาลปรับใช้โมเดลปราบแก๊งคอลฯ ในเมียนมาของรัฐบาลเพื่อไทยกับกัมพูชา

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี ที่มีแรงงานต่างชาติหลายประเทศ ถูกหลอกกว่า 1,000 คน หลบหนีจากพื้นที่ชายแดนเมียนมาเข้ามาในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก หลังกองทัพเมียนมาได้บุกทลาย "เคเคพาร์ค" ว่า เป็นศูนย์ปฏิบัติการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ ซึ่งพบว่า มีการใช้อุปกรณ์สตาร์ลิงก์ ในศูนย์ปฏิบัติการเหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เห็นได้ว่า มาตรการปราบปรามสแกมเมอร์ ที่เข้มงวดของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เริ่มหย่อนสมรรถภาพลงเรื่อยๆ

เพราะหลัง น.ส.แพรทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปราบปรามสแกมเมอร์อย่างเด็ดขาดด้วยนโยบาย 3 ตัดแล้ว มีแรงงานหลากหลายประเทศที่ถูกหลอกเข้าไปทำงานในเมียนมา ได้หลบหนีข้ามพรมแดนเข้ามาในฝั่งไทยหลายพันคน ตนเองจึงได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยในทันที และร่วมกับนายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และเชิญ "กงอัน" หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน มาร่วมประชุมเพื่อคัดกรองแรงงานชาวจีน และเร่งส่งกลับ รวมถึงตนเองยังได้ตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจขึ้นที่กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อลงไปปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ ประสานกับสถานทูตตามหลักมนุษยธรรม จนสามารถช่วยแรงงานต่างชาติให้เดินทางกลับมาตุภูมิได้โดยปลอดภัย

ดังนั้น ตนอยากเห็นรัฐบาล เร่งจัดตั้งทีมเฉพาะกิจประสานงานกับประเทศต่างๆ เพื่อช่วยเหลือแรงงานชาติต่างๆ ที่ถูกหลอกเข้าไปทำงานแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ในเมียนมา โดยใช้แบบแผนการทำงานที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ได้ดำเนินการไว้ และประสบความสำเร็จในการช่วยเหลือแรงงานต่างชาติที่ถูกหลอกเข้าไปทำงานในเมียนมา จนได้รับความชื่นชมไปจากทุกภูมิภาค

นายมาริษ ยังย้ำถึงปัญหาสแกมเมอร์ว่า ถือเป็นสงครามมวลมนุษยชาติของประชาคมโลก ฉะนั้น ในขณะที่มีประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่มาเลเซียรัฐบาลควรจะมองเห็น และมีบทบาทนำในการดึงความร่วมมือกับนานาประเทศที่ประสบปัญหาการถูกโกงจากสแกมเมอร์ รวมทั้งจะต้องส่งเสริมความร่วมมืออย่างเข้มแข็งกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ซึ่งเป็นกลไกลสำคัญของสหประชาชาติ ที่พยายามแก้ไขปัญหาเรื่องสแกมเมอร์ ให้หมดไปจากประชาคม 

ที่ผ่านมารัฐบาลพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการอย่างเข้มงวด มีจุดยืนที่ชัดเจน ในการร่วมมือกับนานาประเทศ และเข้าร่วมในกรอบความร่วมมือทั้งหลายขององค์การสหประชาชาติ และอาเซียนทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศว่า เส้นทางการขนส่งเม็ดเงิน และได้ออกมาตรการต่างๆ มารองรับ เช่น ให้กระทรวงการคลังดำเนินการแก้ไขปัญหา ร่วมกับธนาคารต่างๆ เพื่อที่จะอายัดบัญชีเงินของนักธุรกิจที่ทำผิดกฎหมาย หรือจะนำไปใช้เป็นทุนในการสร้างธุรกิจสีเทา รวมทั้งมีการร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ภายในประเทศ ที่มีมาตรการต่างๆ ในการเข้าไปปิด บัญชีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา

นายมาริษ ยังยกตัวอย่างสิ่งที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำไว้ ซึ่งในปัจจุบัน ยังไม่เห็นการดำเนินการ หรือการต่อยอดจากสิ่งที่รัฐบาลได้ทำในอดีต คือ กระทรวงต่างประเทศ โดยผมและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ริเริ่ม การประชุมหารือครั้งสำคัญ 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นการประชุม 3 ฝ่าย โดยมีไทย เมียนมา และอินเดีย ส่วนครั้งที่สองเป็นการประชุม 4 ฝ่าย โดยมีไทย จีน ลาว และเมียนมา ซึ่งวัตถุประสงค์ของการประชุมสองครั้งที่ผ่านมาต้องการที่จะผลักดันให้เกิดผลลัพธ์ 2 ประการ คือ ความพยายามที่จะเข้าไปแก้ปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ในประเทศเมียนมา เปลี่ยนความขัดแย้งให้เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศ และความต้องการที่จะแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ข้ามพรมแดน โดยเฉพาะเรื่องสแกมเมอร์ ทั้ง 2 เรื่องนี้ เป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งสามารถแก้ปัญหา 2 อย่างได้โดยใช้มาตรการ-กลยุทธ์เพียงอันเดียว

ซึ่งหลังจากที่ไทยได้มีมาตรการในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในฝั่งประเทศเมียนมาอย่างรุนแรง จึงเป็นเรื่องปกติที่กลุ่มธุรกิจสีเทาจะหาทางออกโดยการย้ายฐานเข้าไปในฝั่งกัมพูชา ดังนั้น หากรัฐบาลปัจจุบัน ยังไม่ได้มีการดำเนินการสานต่อ หรือยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการต่อยอดจากสิ่งที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ทำไว้ ก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยสัมฤทธิ์ผลอย่างเป็นรูปธรรมสูญเสียไป และเรื่องดังกล่าวทั้งหมด ควรจะเป็นสิ่งที่รัฐบาลปัจจุบันต้องต่อยอด เพื่อรักษาโมเมนตัมของการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาค ซึ่งไทยสามารถให้ประเทศเพื่อนบ้าน และมหาอำนาจในการเข้ามาช่วยกดดัน

นายมาริษ ยังย้ำว่า ที่ผ่านมารัฐบาลพรรคเพื่อไทยร่วมกับจีน และได้มีการประชุมแบบลงรายละเอียดในการแก้ไขปัญหา มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล เส้นทางการเงินของการทำธุรกิจสีเทา ซึ่งในท้ายที่สุดรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ได้รับคำชื่นชมจากนานาประเทศว่าได้มีการดำเนินนโยบายที่เข้มงวดในการแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์ ผ่านนโยบาย 3 ตัด ซึ่งทั้งเมียนมา และรัฐบาลจีนเอง ก็ได้ให้ความร่วมมือจนนำไปซึ่งการแก้ไขปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ส่วนการแก้ไขปัญหากัมพูชานั้น นายมาริษ ระบุว่า ช่วงที่ผ่านมา ไทยกัมพูชามีปัญหาการกระทบกระทั่งกันบริเวณชายแดน ซึ่งทำให้เห็นชัดว่ากัมพูชาไม่มีความจริงใจที่จะแก้ปัญหาร่วมกันกับไทยในการปราบปรามสแกมเมอร์ หรืออาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีความตั้งใจว่า จะใช้กลไกเช่นเดียวกันในการประชุม 3 ฝ่าย ซึ่งจะมีไทย จีน และกัมพูชา ที่ไทยเคยทำสำเร็จมาแล้วในฝั่งของประเทศเมียนมา แต่ด้วยเหตุการณ์การทบกระทั่งกัน จึงทำให้เรื่องเหล่านี้มีความล่าช้าออกไป แต่ในช่วงที่ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้หารือกับประเทศจีน รวมทั้งได้หารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ในการสร้างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา

นายมาริษ ยังระบุว่า ที่ผ่านมารัฐบาลพรรคเพื่อไทยดำเนินการไว้ ทั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการต่างประเทศ แต่โจทย์วันนี้ไม่ใช่เรื่องของการมีนโยบาย แต่เป็นเรื่องของการนำนโยบายไปปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ให้ประเทศไทยมีบทบาทนำในการปราบปรามสแกมเมอร์ในภูมิภาค โดยเฉพาะในอาเซียนและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

Advertisement

แชร์
"มาริษ" ชี้ ภัยสแกมเมอร์เป็นสงครามมวลมนุษยชาติ