นายปริเยศ อังกูรกิตติ กล่าวถึงกรณีข่าวเกี่ยวกับรัฐบาลภายใต้นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี ว่ากำลังเผชิญคำถามเกี่ยวกับความเอาจริงเอาจังในการแก้ปัญหาสแกมเมอร์ หลังจากมีข่าวการแต่งตั้งนายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานคณะทำงานตรวจสอบเส้นทางการเงินสแกมเมอร์และเงินเทา ซึ่งมีภารกิจหลักในการเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายหน่วยงาน เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย ปปง. และ ก.ล.ต. เพื่อให้การจัดการปัญหาเป็นระบบ
โฆษกพรรคไทยสร้างไทยกล่าวว่า ทางพรรคขอคัดค้านแนวคิดการแต่งตั้งนายวรภัคเป็นประธานคณะทำงานนี้ เนื่องจากก่อนหน้านี้มีข่าวว่าท่านเคยให้คำปรึกษาด้วยวาจาแก่นาย Yim Leak ประธาน BIC Bank และกลุ่มธุรกิจ BIC Group ในกัมพูชา ซึ่งหลายคนถูกตั้งข้อสงสัยโดยสหรัฐอเมริกาว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มสแกมเมอร์ข้ามชาติ ดังนั้น การแต่งตั้งบุคคลที่เคยมีความสัมพันธ์เชิงการให้คำปรึกษากับเครือข่ายธุรกิจในต่างประเทศมาเป็นผู้ตรวจสอบ จึงไม่สร้างความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสได้เลย
แม้นายวรภัคจะยืนยันว่า การให้คำปรึกษาเป็นเพียงการพูดคุยในระดับประสบการณ์ธุรกิจธนาคารเท่านั้น ไม่มีการเข้าร่วมบริหารหรือได้รับผลประโยชน์ใด ๆ และได้แจ้ง ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่ประเด็นความเหมาะสมของการแต่งตั้งยังคงเป็นคำถามที่สังคมจับตา และอาจเป็นข้อสังเกตใหญ่ที่ย้อนกลับมาสร้างปัญหาให้รัฐบาลเอง
นายปริเยศ ยังชี้ว่า กระบวนการทำงานแบบนี้ของรัฐบาลอาจถูกตั้งคำถามว่าเข้าข่ายไปปกป้องเครือข่ายผู้ต้องสงสัยการกระทำความผิดได้ และแม้รัฐบาลจะจัดแบ่งงานเป็นสองฝั่ง โดยฝั่งหนึ่งเน้นตรวจสอบเส้นทางการเงินนำโดยกระทรวงการคลัง อีกฝั่งเน้นการระบุตัวสแกมเมอร์นำโดยนายกรัฐมนตรี แต่ในสายตาประชาชนจากข่าวนี้ ก็ทำให้เกิดภาพลบต่อประเทศไทยโดยรวมไปด้วย
“การเอาบุคคลที่เคยให้คำปรึกษากันมาเป็นประธานตรวจสอบ ซึ่งแน่นอนว่าต้องรู้จักและมีความสัมพันธ์กันอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นจะให้คำปรึกษากันได้อย่างไร การตัดสินใจแบบนี้จะทำลายความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในสายตาต่างประเทศอย่างรุนแรง และจะถูกครหาว่าเป็นประเทศเครือข่ายสแกมเมอร์ไปด้วยในไม่ช้า เราจึงคัดค้านอย่างที่สุดในกรณีนี้” นายปริเยศ กล่าว
โฆษกพรรคไทยสร้างไทยย้ำว่า ประชาชนและผู้ติดตามปัญหายังคงจับตาการทำงานของคณะทำงานอย่างใกล้ชิด โดยหวังว่าการประชุมคณะกรรมการและมาตรการเชิงรุกของรัฐบาล จะสามารถแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริง การประสานงานที่เข้มแข็ง และความโปร่งใสในการจัดการปัญหาสแกมเมอร์อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่ากรณีนี้ควรจะเป็นจุดเร่งให้รัฐบาลเร่งตรวจสอบและอายัดทรัพย์สินผู้เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง
เนื่องจากส่อเค้าว่าการดำเนินงานที่ยังไม่ชัดเจนอาจสร้างความไม่โปร่งใสและความกังขาในสายตาประชาชน นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในระดับสากล เพราะต่างชาติอาจมองว่ารัฐบาลไทยกำลังให้ความคุ้มครองหรืออุ้มกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ ซึ่งยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นในความเข้มงวดและความเอาจริงเอาจังของรัฐบาลลดน้อยลง
Advertisement