วันที่ 29 ก.ย. เวลา 09.24 น. ที่รัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ในฐานะประธานในที่ประชุม ในการประชุมรัฐสภาครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ ในวาระเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย เนื่องจากรัฐธรรมนูญมาตรา 162 ววรค1 กำหนดให้รัฐมนตรีที่จะเข้ามาบริหารรัฐราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งต้องสอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐแนวนโยบายของรัฐและยุทธศาสตร์แห่งชาติ และต้องชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบาย โดยไม่มีการลงมติไม่ไว้วางใจ ทั้งนี้ภายในเวลา 15 วันนับตั้งแต่วันรับหน้าที่
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 68 สำนักนายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือแจ้งว่าคณะรัฐมนตรีพร้อมที่จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และประธานรัฐสภาได้บรรจุวาระเป็นเรื่องด่วนตามข้อบังคับที่ 140 ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยประธานได้มีข้อบังคับและกำหนดขั้นตอนมีวิธีการการอธิปราย ไทยคณะรัฐมนตรีและที่ประชุมรัฐสภาได้รับทราบ
จากนั้น น.ส. แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส. อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย ได้กล่าวสรุปผลการหารือเรื่องการใช้เวลาในการแถลงนโยบายในช่วงวันที่ 29-30 ก.ย. ว่า ซึ่งมีการกำหนดระยะเวลาของรัฐสภา 2 วัน โดยวันที่ 29 ก.ย. เริ่มตั้งแต่ 09.00 น. และประชุมไปถึงประมาณ 01.00 น. รวม 16 ชั่วโมง ขณะที่วันที่ 30 ก.ย. จะเริ่มประชุมในเวลา 09.00 น. สำหรับการจัดสรรเวลาประชุมร่วม ประธานในที่ประชุมใช้เวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมง คณะรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร่วมรัฐบาลจะใช้เวลา 6 ชั่วโมง ทั้งนี้การแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรีจะไม่นับรวมในเวลาของคณะรัฐมนตรี สมาชิกวุฒิสภา 3 ชั่วโมงและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคร่วมฝ่ายค้าน 15 ชั่วโมง ทั้งนี้ในการอภิปรายตามเวลาที่จัดสรรหากใช้เวลาไม่ครบตามที่กำหนดในแต่ละวันถือให้ตัดของวันนั้น และเริ่มใหม่ในวันต่อไปในจำนวนเวลาที่เหลือ
จากนั้น เวลา 09.34 น. นาย อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ได้กล่าวแถลงนโยบายว่า ครม.ขอแถลงถึงหลักการบริหารราชการแผ่นดินและนโยบายสำคัญของรัฐบาล จะยึดหลักสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1.พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 2. ยึดมั่นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 3.ยึดมั่นหลักนิติธรรม บังคับใช้กฎหมายเป็นธรรม บริหารราชการแผ่นดินบนพื้นฐานธรรมาภิบาล ด้วยระยะเวลาที่มีอยู่จำกัด และงบประมาณที่รัฐบาลนี้ไม่ได้เป็นผู้จัดทำ ทั้งยังเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย จำเป็นต้องเร่งแก้ปัญหาที่ประเทศในขณะนี้ได้แก่ ภัยเศรษฐกิจ ภัยความมั่นคง ภัยสังคม และภัยสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการวางรากฐานประเทศ การพัฒนาความสามารถการแข่งขันของประเทศ การสร้างระบบเศรษฐกิจโปร่งใส การสร้างความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยและสันติสุข รัฐบาลจะสนับสนุนการจัดทำประชามติ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ รับฟังเสียงประชาชน สร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนให้สอดคล้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
รัฐบาลกำหนดนโยบายสำคัญแก้ปัญหาเร่งด่วนประเทศดังนี้ 1.ด้านเศรษฐกิจ สร้างรายได้ลดรายจ่ายให้ประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน อาทิ ค่าพลังงาน ค่าน้ำดื่มสะอาด ค่าโดยสาร ให้มีกำลังจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยจัดทำโครงการคนละครึ่ง การบริหารจัดการราคาสินค้าเกษตรในระดับที่เหมาะสม 2.แก้ปัญหาหนี้สิน เพิ่มสภาพคล่องบนพื้นฐานความเสี่ยงที่เป็นธรรม อาทิ แก้ปัญหาหนี้ภาคประชาชนในระบบ รายละไม่เกิน 1แสนบาท การเพิ่มสภาพคล่องแก่ผู้ประกอบการรัฐวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม รายละไม่เกิน 1ล้านบาท ควบคู่กับการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้ลูกหนี้ที่มีวินัยชำระหนี้ 3.เพิ่มโอกาสการออมของประชาชนรายย่อย 4.ฟื้นความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว มุ่งเน้นสร้างความปลอดภัย ปราบปรามการฉ้อโกง หลอกลวงนักท่องเที่ยว 5.เร่งแก้ปัญหาผลกระทบสงครามการค้า จัดตั้งทีมไทยแลนด์ยกระดับการค้าเสรีกับคู่ค้าเดิม และดำเนินการเชิงรุกเปิดตลาดใหม่เพิ่มขึ้น การดูแลผู้ประกอบการ เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ
ด้านความมั่นคง เร่งแก้ปัญหาพิพาทไทย-กัมพูชาด้วยแนวทางสันติภาพแก่ประชาชนตามชายแดนโดยเร็ว ยุติความขัดแย้งผ่านกลไกการเจรจาทางการทูตที่เหมาะสมควบคู่กับการป้องกันประเทศที่เข้มแข็ง ตลอดจนทำประชามติให้ประชาชนมีส่วนร่วมตัดสินใจในการยกเลิกบันทึกเอ็มโอยู่ไทย-กัมพูชา นอกจากนี้จะเร่งแก้ปัญหาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม สร้างความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินประชาชนควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างยั่งยืน
ด้านสังคม ปราบการพนันผิดกฎหมายทุกรูปแบบอย่างจริงจัง ไม่สนับสนุนการประกอบธุรกิจพนันทุกชนิดให้เป็นธุรกิจถูกกฎหมาย ไม่สนับสนุนเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่มีธุรกิจพนัน การพนันที่แฝงมาในรูปกีฬา อาทิ โป๊กเกอร์ จะแก้ไขพ.ร.บ.การพนัน ควบคุมและลดการอนุญาตการเล่นการพนัน รวมถึงการรักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด การขจัดทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเด็ดขาด จริงจัง การพิทักษ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น
ด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งติดตั้งเครื่องมือเตือนภัย พัฒนาเครือข่ายการเตือนภัยพิบัติในพื้นที่มีความเสี่ยงสูง เยียวยาฟื้นฟูประชาชนผู้ประสบภัยโดยเร่งด่วน เน้นนำข้อมูลส่วนราชการส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปปฏิบัติในพื้นที่อย่างจริงจัง การอนุรักษ์ฟื้นฟู รักษาทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบ การส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและระบบขนส่งสาธารณะ
ด้านการบริหารภาครัฐ การปฏิรูปกฎหมาย เร่งรัดการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลเชื่อมโยงกันทั้งระบบ เสนอร่างกฎหมายยกระดับการบริหารภาครัฐ และอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจและประชาชน บูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม การเร่งรัดการปฏิรูปกฎหมาย ยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรค สร้างภาระแก่ประชาชนและภาคธุรกิจ
ส่วนแนวนโยบายแห่งรัฐและยุทธศาสตร์ชาติตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญจะผลักดันการพัฒนาแนวนโยบายรัฐและยุทธศาสตร์ชาติ 6ด้าน ในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างต่อเนื่อง อาทิ การให้คนไทยทุกช่วงวัย ทุกกลุ่มเข้าถึงสิทธิการศึกษา ระบบสาธารณสุขอย่างทั่วถึง เท่าเทียม การผลักดันกฎหมายปฏิรูปการศึกษา การพัฒนาบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ การวางรากฐานปรับโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศไปสู่ยุคใหม่ จากเดิมเน้นปริมาณ ไปสู่การสร้างมูลค่า ยกระดับ ภาคเกษตรกรรมไทยไปสู่เกษตรอัจฉริยะ เพื่อเพิ่มผลิตภาพ ลดความเสี่ยงภัยธรรมชาติ การวางรากฐานSMEs ก้าวทันโลกควบคู่กับการยกระดับโครงสร้างสู่อุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ สนับสนุนผู้ประกอบการเข้าถึงเทคโนโลยีที่เหมาะสม การผลักดันกฎหมายสำคัญรองรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับการพัฒนาประเทศควบคู่กับการส่งเสริมให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในโครงการขนาดใหญ่ การสืบสานต่อยอดโครงการพระราชดำริ
รัฐบาลมีความมุ่งมั่นบริหารราชการแผ่นดิน ขับเคลื่อนนโยบาย เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ควบคู่กับการวางรากฐานประเทศนำพาประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างเต็มกำลังความสามารถด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และมีคุณธรรม ยึดประโยชน์ประเทศเป็นที่ตั้ง สร้างความเชื่อมั่นการดำเนินนโยบายการคลังให้น่าเชื่อถือ โปร่งใส มีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง เน้นการบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 เป็นหลัก จะใช้จ่ายงบประมาณด้วยความรอบคอบ ในฐานะนายกรัฐมนตรีจะบริหารราชการแผ่นดินให้สามารถแก้ปัญหาประเทศ พร้อมวางรากฐานพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในทุกมิติ เพื่อความอยู่ดี มีสุขของประชาชน
Advertisement