วันที่ 29 ก.ย. 68 จากกรณีนาย สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ ขึ้นกล่าวถ้อยแถลง ฟาดกัมพูชาเล่นบทเหยื่อ และบิดเบือนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา กลางที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติสมัยที่ 80 เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 68 ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้
ต่อมานาย สุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก “Suthichai Yoon “ ระบุว่า “หมัดต่อหมัดที่ UN: “เหยื่อ” ในคราบผู้ยั่วยุ!
“เวทีการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติครั้งที่ 80 (UNGA80) ควรเป็นพื้นที่ประกาศวิสัยทัศน์ความร่วมมือของโลก แต่กลับถูกแปรเปลี่ยนเป็นโรงละครที่กัมพูชาหยิบเอาบทบาท “ผู้ถูกกระทำ” มาสวมใส่ เพื่อเรียกคะแนนสงสารจากประชาคมโลก”
“รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ปรัก สุคนธ์ เล่นบท “ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ” ได้อย่างไม่น่าเชื่อ...แกอ่านคำปราศรัยด้วยน้ำเสียงรันทดถึงความเจ็บปวดทางประวัติศาสตร์ของกัมพูชา เล่าถึงการฟื้นฟูประเทศและการส่งทหารรักษาสันติภาพไปทั่วโลก พร้อมกล่าวหาว่าไทยคือผู้รุกราน ไล่ที่ชาวกัมพูชา ใช้แผนที่ฝ่ายเดียว และเปิดฉากยิงโดยไม่ถูกยั่วยุ”
“ทุกถ้อยคำของรัฐมนตรีต่างประเทศเขมรเต็มไปด้วยการสร้างภาพ “ประเทศเล็กที่ถูกรังแก” แต่หมัดตรงที่รัฐมนตรีต่างประเทศไทยสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้วสวนกลับแบบไม่อ้อมค้อม ถือเป็นการตัดสินใจไม่ใช้ภาษาการทูตแบบประเพณีนิยมสักครั้งซัดกลับว่า”
“เช้านี้ ผมตั้งใจจะพูดเรื่องอนาคตที่สร้างสรรค์ แต่ต้องเขียนสุนทรพจน์ใหม่ เพราะคำกล่าวอันน่าเสียใจที่สุดจากเพื่อนร่วมงานกัมพูชา กัมพูชายังคงแสดงตนเป็นเหยื่อ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บิดเบือนข้อเท็จจริงให้ผิดเพี้ยน มันคือการบิดเบือนความจริงอย่างสิ้นเชิง” สีหศักดิ์ชี้ว่า “เหยื่อที่แท้จริง” คือทหารไทยที่เสียขาจากกับระเบิด เด็กนักเรียนที่โรงเรียนถูกถล่มด้วยกระสุน และชาวบ้านที่กำลังซื้อของในตลาดแต่ถูกจรวดกัมพูชาตกใส่”
“รมว. ต่างประเทศคนใหม่ของไทย (นี่คือการปรากฏตัวครั้งแรกในเวทีสาธารณะหลังรับตำแหน่ง) เล่าด้วยความผิดหวังว่า เพียงวันก่อนหน้านี้ตนได้พบกับรัฐมนตรีกัมพูชาในห้องโถงเดียวกันของยูเอ็น พูดคุยเรื่องสันติภาพ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และความร่วมมือ แต่สิ่งที่กัมพูชาพูดบนเวทีกลับ ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง “ข้อกล่าวหาของกัมพูชาเหลวไหลเสียจนกลายเป็นการเยาะเย้ยความจริง (make mockery of the truth)” สะท้อนถึงความอดทนที่ล้นเกินขีดจำกัด ที่น่าขันคือ หมู่บ้านที่กัมพูชาอ้างว่าอยู่ในเขตของตนนั้น แท้จริงแล้วตั้งอยู่บนดินแดนไทยตั้งแต่ต้น”
“และเกิดขึ้น เพราะไทยเปิดชายแดนด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรมในทศวรรษ 1970 เพื่อให้ชาวกัมพูชาหนีภัยสงครามเข้ามาพักพิง “เราทำด้วยความเมตตาและหลักการมนุษยธรรม” คุณสีหศักดิ์ย้ำ”
“แต่ความเอื้อเฟื้อนั้นกลับถูกตีความเป็นสิทธิ์ในดินแดน หรือนี่คือการแสดงละครเหยื่อของเขมร—เรียกร้องความเห็นใจเพื่อปกปิดการยั่วยุ ใช้ผ้าคลุมสันติภาพเพื่อซ่อนบทบาทผู้บุกรุกบนเวทียูเอ็น กัมพูชาอาจหวังว่าเสียงสะอื้นจะก้องไกลกว่าข้อเท็จจริง แต่ในสายตาของผู้ที่รู้ประวัติศาสตร์ชายแดนไทย–กัมพูชา คำกล่าวของปรัก สุคนธ์ ก็ไม่ต่างอะไรจาก การแสดงละครที่ใช้เหยื่อปลอมๆ มาเรียกความสงสาร ขณะที่เบื้องหลังยังคงเดินเกมยั่วยุเหมือนเดิม “เหยื่อ” กับ “ผู้ยั่วยุ” สิงอยู่ในตัวละครเดียวกันได้จริงๆ หรือ?”
Advertisement