วันที่ 17 ก.ย. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีที่ นาย ศรีสุวรรณ จรรยา และนาย ยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก พร้อมพวก รวม 5 คน ในความผิดฐาน "เรียกรับทรัพย์สินจาก อธิบดีกรมการข้าว
ก่อนขึ้นฟังคำพิพากษานาย ศรีสุวรรณ เปิดเผยว่า คดีนี้เป็นคดีการเมืองที่ผู้มีอำนาจต้องการเตะตัดขา เพราะไม่ต้องการให้ทำหน้าที่ตรวจสอบนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง เพราะสิ่งที่ทำมานับ 10 ปี เป็นที่หวาดผวาของนักการเมืองและข้าราชการจำนวนมาก เรื่องร้องเรียนนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองหลายพรรค จบอนาคตการเมืองของนักการเมืองดังหลายคน จึงเป็นที่มาของการหาเหตุให้ต้องคดี โดยใช้เทคนิควิธีการ ซึ่งในภาษากฎหมายเรียกว่าล่อให้กระทำความผิด ทั้งการเอาถุงเงินไปแขวนหน้าบ้าน หากพฤติกรรมแบบนี้ถือเป็นความผิด อนาคตอาจนำไปใช้กันทั่วประเทศและก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายต่อประชาชน
ที่ผ่านมาได้ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด เพราะต้องการพิสูจน์ให้ความปรากฏชัดเจน เพราะที่ผ่านมาได้รับความเสียหายอย่างมากประเด็นสำคัญคือไม่สามารถใช้สิทธิ์ในฐานะประชาชนมาตรวจสอบนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงได้มากนัก ทำให้นักการเมืองดีอกดีใจ กระพือปีก กระดี๊กระด๊า ทำอะไรโดยอำเภอใจ แล้วย่ามใจนายศรีสุวรรณ กล่าวอีกว่า วันนี้ไม่กังวลใจอะไร แต่กลับมีความมั่นใจในการไต่สวนสืบ และเชื่อมั่นในคำพิพากษาว่าศาลจะให้เจ้าตัวกลับไปทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งเหมือนเดิม โดยการต่อสู้ไม่ได้มีพยานหรือหลักฐานอื่น นอกจากหลักฐานตามคำฟ้องที่ตำรวจและอัยการเสนอมาที่ศาลจำนวน 4,773 หน้ามาโต้ เพราะคำฟ้องทั้งหมด ทีมทนายความสามารถจับได้ว่ามีข้อพิรุธ พยานหลักฐานอ่อน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการต่อสู้ในรูปคดี อย่างน้อยๆ ก็ขอให้คดีนี้เป็นบรรทัดฐานที่ไม่ให้ผู้มีอำนาจมากลั่นแกล้งอีกต่อไป ส่วนจะมีการฟ้องกลับหรือไม่ ขอฟังคำพิพากษาและปรึกษาทีมทนายก่อน
ส่วนนาย เจ๋ง ดอกจิก เดินทางมาถึงก่อนเวลานัดหมาย แต่ยังไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เดินทางมาถึงได้เดินขึ้นที่ห้องพิจารณาคดีทันที
ทั้งนี้ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยทั้งหมดกระทำความผิดจริง ฐานเป็นพนักงานปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และสนับสนุนเจ้าพนักงานงานให้ปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบ มีพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิด ทำคลิปเสียง, คลิปภาพ , ข้อความแชตในแอพพลิเคชันไลน์ และหมายเลขธนบัตรที่นำไปมอบให้นายศรีสุวรรณที่บ้านนั้นเป็นหมายเลขเดียวกันกับที่ภรรยาของอธิบดีกรมการข้าว เบิกจากธนาคารมา เพื่อเป็นหลักฐานในการส่งมอบเงินในวันเกิดเหตุ
ศาลพิเคราะห์จากพยานหลักฐานแล้วเห็นว่าจำเลยที่ 1 ขณะเกิดเหตุเป็นคณะทำงานตรวจราชการที่ 11 และได้รับมอบให้ใช้อำนาจทางปกครอง จำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ว่าไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงฟังไม่ขึ้น โดยคดีนี้โจทก์อ้างคลิปบันทึกภาพและเสียง 40 คลิป จากภรรยาของผู้เสียหาย ซึ่งศาลได้ส่งตรวจพิสูจน์แล้วไม่มีการตัดต่อ และจำเลยที่ 1-3 ไม่ได้ปฏิเสธว่าคลิปและภาพดังกล่าวเป็นความจริง และคลิปและภาพดังกล่าวแสดงเหตุการณ์เป็นลำดับขั้นตอน สอดคล้องกับที่ผู้เสียหายและภรรยาเบิกความ จึงมีน้ำหนักรับฟัง โดยเฉพาะเรื่องที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ได้แถลงข่าวที่รัฐสภาว่ากรมการข้าวมีการทุจริตและจะทำการตรวจสอบ ก่อนจะโทรกลับหาผู้เสียหายพูดจูงใจให้ยอมจ่ายเงิน เพื่อไม่ให้เสียชื่อเสียง โดยจำเลยที่ 2 ให้เหตุผลว่าจะพิสูจน์ว่าผู้เสียหายไม่มีความผิด และในวันดังกล่าวจำเลยที่ 3 ได้โทรหาภรรยาผู้เสียหายเพื่อเรียกเงิน แต่ได้ต่อรองจนเหลือราคา 1.5 ล้านบาท จากเดิม 3 ล้านบาท และขอให้จ่ายก่อนปีใหม่
อย่างไรก็ตามมีหลักฐานจากบทสนทนาในแอพลิเคชั่นไลน์ถึงการนัดหมายและเรียกรับเงินหลายครั้ง โดยเป็นการสนทนาระหว่างจำเลยที่ 3 ที่เป็นเลขาของจำเลยที่ 1 และยังมีการเชื่อมโยงกับจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ทั้งบทสนทนาและหลักฐานการโอนเงิน นอกจากนี้ในวันที่ 26 มกราคม 2567 ภรรยาผู้เสียหายได้นำเงินจำนวน 5 แสนบาทใส่ถุงพลาสติก มาแขวนไว้ที่หน้าประตูบ้านของจำเลยที่ 2 จากนั้นจำเลยที่ 5 ได้นำถุงกลับเข้ามาในบ้าน โดยมีการหยิบใส่ถุงพลาสติกสีดำอันมีลักษณะปกปิดและมีพฤติกรรมน่าสงสัย เป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 5 ทราบว่าเงินดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไร พฤติการณ์ของจำเลยทั้ง 5 เป็นการร่วมกันกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำ
จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินและขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ทรัพย์สิน และชื่อเสียงของผู้ถูกขู่เข็ญหรือของบุคคลที่ 3 จนผู้ถูกข่มขืนใจยอม ต้องกระทำการนั้นหรือไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยร่วมกระทำความผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติในตำแหน่งหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ และเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ เรียกรับหรือยอมรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองและผู้อื่นโดยมิชอบ
จำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 5 ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงไม่อาจลงโทษจำเลย 2-5 ในฐานะเป็นตัวการในการกระทำความผิดได้ อย่างไรก็ตามการกระทำของจำเลยที่ 2-5 เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ในการทำผิด จึงต้องรับผิดฐายเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดของจำเลยที่ 1
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง 3 วรรคแรก ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา172 , 173 และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง , 337 วรรคแรก ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา172,173ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ,86 การกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐและจำเลยที่ถึงที่ ฐานร่วมกันสนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบ ด้วยหน้าที่ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 คนละ 4 ปี บวกโทษจำคุก 2 เดือน ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ2283/2565 หมายเลขแดงที่ อ3002/2566ของศาลอาญามีนบุรี และบวกโทษจำคุก 2 เดือน
ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ228/2565 หมายเลขแดงที่ อ3003/2566 ของศาลอาญามีนบุรี เข้ากับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1ในคดีนี้ เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 ปี เดือน นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1ในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขดำที่ อ2542/2553 คดีหมายเลขแดงที่ อ2076/2562ของศาลอาญา ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3127/2566 ของศาลอาญา เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้ ริบเงิน 160,000 บาท ที่จำเลยทั้งห้าได้มาจากการกระทำความผิดตามฟ้องโดยให้จำเลยทั้งห้าชำระเงินจำนวนดังกล่าวต่อศาลภายใน 30 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษาหากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน เพราะเหตุว่าโดยสภาพของสิ่งที่ศาลจะสั่งริบหรือได้สั่งริบไม่สามารถส่งมอบได้ สูญหาย หรือไม่สามารถติดตามเอาคืนได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด หรือได้มีการจำหน่ายจ่ายโอน สิ่งนั้น หรือการติดตามเอาคืนจะกระทำโดยยากเกินสมควร หรือมีเหตุสมควรประการอื่น ให้จำเลยทั้งห้าร่วมชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวหรือต้นเงินที่ค้างชำระนับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่)บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปีตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 33
Advertisement