นาย เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน ตั้งข้อสังเกตสาเหตุค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วและรุนแรง ส่วนหนึ่งมาจากความผิดปกติบางอย่างในการส่งออกทองคำ โดยเฉพาะการส่งออกไปกัมพูชา
ล่าสุดเดือน ม.ค.-ก.ค. 2568 ไทยส่งออกทองคำไปกัมพูชา เป็นอันดับ 2 รองจากสวิสเซอร์แลนด์ มูลค่ากว่า 2,149 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประมาณ 68,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.3% คิดเป็นสัดส่วน 28.2% เทียบกับการส่งออกทองคำทั้งหมด ถือเป็นอัตราที่สูงมาก ทั้งที่กัมพูชาเป็นประเทศเล็กๆ จึงเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ต้องนำไปหารือกับรัฐบาลใหม่ต่อไป
“ถ้าเทียบแล้วกัมพูชาเป็นประเทศเล็กๆ ทำไมไทยถึงมีสัดส่วนการส่งออกทองคำไปค่อนข้างเยอะ ทำให้ได้เงินตราต่างประเทศเข้ามาจำนวนมาก ต้องแลกเป็นเงินบาท ความต้องการเงินบาทจึงเพิ่มขึ้น ทำให้ค่าบาทแข็งค่า และกัมพูชามีปัญหาเรื่องสแกมเมอร์ที่ค่อนข้างเยอะ กกร.ตั้งข้อสังเกตและกังวลว่า เรื่องนี้จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจใต้ดินหรือไม่”
นายเกรียงไกร กล่าวว่า เรื่องนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ กกร.ยังไม่ได้ยืนยัน 100% ว่า เกี่ยวพันหรือไม่ แต่อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่คาดไม่ถึง เพราะเป็นเศรษฐกิจนอกระบบ การส่งออกทองคำไปกัมพูชา อาจจะมีทั้งถูกและไม่ถูกกฎหมาย อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งรัฐบาล กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าไปติดตามอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อตรวจสอบ หากพบปัญหาจะได้แก้ให้ตรงจุด
นายเกรียงไกร กล่าวว่า สิ่งที่ต้องการให้รัฐบาล และธปท.เร่งทำ คือ แยกมูลค่าการค้าทองคำออกมาก่อน เพื่อพิจารณาว่า มีความผิดปกติอย่างไรบ้าง และให้ธปท.เข้าไปดูแลการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทให้เหมาะสม ไม่ใช่ว่า ประเทศอื่นแข็งค่าระดับหนึ่ง แต่ของไทยแข็งรุนแรงจนผิดปกติ หรือเวลาค่าเงินอ่อน ไทยก็มักอ่อนมากกว่าประเทศอื่น ส่งผลกระทบผู้ประกอบการไทยในทุกภาค ทั้งภาคการส่งออก ภาคเกษตร ภาคการท่องเที่ยวกระทบหมด
อย่างไรก็ตาม หากมองในความเป็นจริงเศรษฐกิจไทยไม่ดี และณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพิ่งลดดอกเบี้ยไป 0.25% ตามข้อเท็จจริง ค่าเงินบาทต้องอ่อนค่า แต่กลับแข็งขึ้น ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ถือเป็นเรื่องผิดปกติ
Advertisement