Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
"สมชาย" ไม่แปลกใจยุบสภาถูกตีกลับ เพราะ "ภูมิธรรม" ไม่มีอำนาจแต่แรก

"สมชาย" ไม่แปลกใจยุบสภาถูกตีกลับ เพราะ "ภูมิธรรม" ไม่มีอำนาจแต่แรก

5 ก.ย. 68
08:49 น.
แชร์

"สมชาย" ไม่แปลกใจยุบสภาถูกตีกลับ เพราะ "ภูมิธรรม" ไม่มีอำนาจแต่แรก ลั่น พท. งัดไพ่ใบสุดท้าย เสนอ "ชัยเกษม" นั่งนายกฯ ยุบสภาทันที วัดใจ ปชน.

(4 ก.ย. 2568) นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ให้สัมภาษณ์กับอมรินทร์ทีวีถึงกรณีที่พระราชกฤษฎีกายุบสภาที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย ยื่นไปก่อนหน้านี้ถูกตีกลับ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าไม่แปลกใจเลย เพราะตนยืนยันมาตั้งแต่แรกว่า นายภูมิธรรม ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี และบัดนี้เราไม่มีนายกรัฐมนตรี ดังนั้น นายภูมิธรรม ซึ่งเป็นคณะรัฐมนตรีที่ถูกศาลตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งพร้อมกับนายกรัฐมนตรี จึงไม่มีอำนาจที่จะเสนอทูลเกล้ายุบสภาได้

ในเมื่อไม่มีอำนาจ แล้วฝืนทูลเกล้าฯ ขึ้นไป ก็ย่อมเป็นการกระทำที่มิบังควร ดังนั้นการถูกตีกลับก็ถือว่ายุติในกระบวนการยื่นยุบสภาของ นายภูมิธรรม และการเดินหน้าของพรรคเพื่อไทยหลังจากนี้ก็มิควรก้าวล้วงในเรื่องพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะพระราชอำนาจในการยุบสภา

และสิ่งที่ นายภูมิธรรม ทำ ก็จะเข้าความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และความผิดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และผิดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เพราะก่อนหน้าที่จะเสนอทูลเกล้า มีการทักท้วงจากฝ่ายข้าราชการประจำแล้ว แต่ นายภูมิธรรม ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าจะเสนอทูลเกล้า และใครจะฟ้องก็ยินดีให้ดำเนินการได้เลย ดังนั้นจึงไม่สามารถตีความเป็นเรื่องเข้าใจผิดได้ แต่เป็นการดื้อดึง และคดีนี้จะติดตัว นายภูมิธรรมฝ ไป แม้ว่าจะพ้นจากตำแหน่งไปแล้วหรือไม่ก็ตาม

และในฐานะที่ตนเคยเป็นอดีตเลขาฯวิป สตช. และวิปวุฒิสภา ก็ยืนยันได้ว่าการนำสิ่งที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทขึ้นทูลเกล้า ไม่สามารถทำได้ หรือแม้กระทั้งเรื่องตัวบุคคลและกฎหมาย ก็จะต้องตรวจสอบให้รอบคอบและรัดกุมอย่างยิ่งก่อนที่จะเสนอทูลเกล้า แล้วสิ่งที่ นายภูมิธรรม ทำในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเชื่ออยู่แล้วว่าทำไม่ได้ ดังนั้นก็รับผิดชอบในสิ่งที่ทำ

ทั้งนี้เมื่อถามว่าด้วยเหตุผลอะไร นายภูมิธรรม ถึงดุดันที่จะยื่นทูลเกล้าฯ เจ้าตัวบอกว่าก็เพื่อที่จะยื้ออำนาจรักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลรักษาการให้ได้นานที่สุด ซึ่งถ้าการยื่นยุบสภาสำเร็จ กว่าจะได้เลือกตั้ง กว่าได้รัฐบาลใหม่ก็ใช้เวลาประมาณ 7-8 เดือน ในช่วงเวลานั้นก็จะสามารถใช้อำนาจรักษาการภายใต้พรรคเพื่อไทย ลดความสูญเสียทางการเมืองหรือเพิ่มคะแนนนิยมได้ ด้วยการใช้นโยบายงบประมาณหรือคนที่จะบริหารจัดการฐานเสียง เพราะอย่าที่เห็นชัดเจนว่าตอนนี่พรรคเพื่อไทยเสียเปรียบจากการเมืองจากกรณีคลิปเสียงที่ น.ส.แพทองธาร คุยกับ สมเด็จฮุนเซน จนถูกให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและทำให้ความนิยมของพรรคตกต่ำ

แต่ถ้าปล่อยให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่สำเร็จ ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็น นายอนุทิน ตามข้อตกลง MOA ของพรรคภูมิใจไทยและภาคประชาชน ก็จะทำให้อำนาจของ นายภูมิธรรม และรัฐบาลรักษาการจบลง และต้องไปเป็นฝ่ายค้าน แล้วเกิดการสูญเสียอย่างมาก

ทั้งนี้จากที่ นายภูมิธรรม พูดกับสื่อสั้นๆ ก่อนเดินขึ้นรถเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาประมาณว่า "หากเลือกนายอนุทินเป็นนายกฯ คดีเขากระโดงมณ์จะหายไปตลอดกาล" นายสมชาย มองว่าเป็นเรื่องที่ใช้ดิสเครดิตกัน เพราะพรรคเพื่อไทยกำลังจะสูญเสียอำนาจ จึงจำเป็นต้องดิสเครดิตฝ่ายที่จะขึ้นมาเป็นรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการเมืองที่แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ที่จะต้องโยนบอมบ์ก่อนวันเลือกนายกฯ

เพราะแต่ละฝ่ายก็มีปมชนักหลังกันอยู่ ทั้งปมเขากระโดง ปมทุจริตในเชิงนโยบายเงินดิจิทัล ปมฮั้ว สว. ปมโครงการกาสิโน เป็นต้น แต่ถ้าถามว่า ถ้าเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วคดีของฝ่ายนั้นจะหายไปตลอดกาลจริงไหม มันก็ขึ้นอยู่กับภาคประชาชนและสื่อมวลชนที่และองค์กรอิสระที่จะหยิบขึ้นมาเรียกร้องให้มีการตรวจสอบต่อหรือเปล่า เพราะอยากให้ทุกคนมองว่าใครทำดีก็ต้องสนับสนุน ส่วนใครที่ทำไม่ดีหรือทำผิดก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย

แต่อย่างไรก็ตามการเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูอย่างถาวร ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามสถานการณ์ เห็นได้จากการตั้งโต๊ะแถลงของพรรคเพื่อไทยที่นำโดย นายชัยเกษม ซึ่งเป็นบุคคลที่พรรคจะยื่นเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในวันที่ 5 ก.ย. พร้อมกับข้อเสนอใหม่ นั่นคือการยุบสภาทันที หลังได้รับโหวตและตั้ง ครม.กราบบังคมทูล นายสมชาย มองว่านี่คือไพ่ใบสุดท้ายของพรรคเพื่อไทยในช่วงเวลานี้ แต่พรุ่งนี้อาจจะมีไพ่ใบท้ายสุดออกมา เพราะคืนนี้คือคืนหมาหอน อะไรก็เกิดขึ้นได้

แต่ถ้ามองเผินๆ หลายคนอาจจะรู้สึกไม่เข้าใจว่าพรรคเพื่อไทยจะยื่นข้อเสนอนี้ทำไม ในเมื่อถ้า นายชัยเกษม ได้เป็นนายกแล้วยุบสภาทันที แล้วจะเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่ออะไร แต่ถ้ามองให้ลึกๆ การเป็นนายกรัฐมนตรีของ นายชัยเกษม ก็เพื่อรักษาอำนาจรัฐบาลรักษาการให้คงอยู่ ยกตัวอย่างคือหลังจาก นายชัยเกษม เป็นนายกฯแล้วยุบสภาภายใน 2 เดือน ก็ยังมีเวลาในการเลือกตั้งแต่อีก 2 เดือน แล้วถ้า นายชัยเกษม ได้เป็นนายกต่อ ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นฝ่ายตรงข้าม นายชัยเกษม ก็ยังคงเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรีต่อ ซึ่งช่วงเวลาหลายเดือนนั้น ก็สามารถใช้อำนาจรัฐบาลรักษาการในการใช้งบประมาณและคนบริหารฐานคะแนนเสียงเพื่อลดการสูญเสียได้

ดังนั้นข้อเสนอนี้ถือเป็นข้อเสนอที่วัดใจพรรคประชาชน ว่าจะเปลี่ยนใจฉีก MOA ที่เซ็นกับพรรคภูมิใจไทยแล้วมาโหวตให้พรรคเพื่อไทย เพราะข้อเสนอนี้ตอบสนองความต้องการของพรรคประชาชนในการยุบสภาเร็ว

และแน่นอนว่าพรุ่งนี้สภาฯ จะมีการเรียกประชุมในวาระพิเศษ แต่มันก็ยังมีข้อสงสัยหลายประเด็นเพราะการบรรจุวาระของประธานสภาไม่ได้กำหนดวาระการเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นวาระแยก ซึ่งมันมีหลายปัจจัยที่จะทำให้การเลือกนายกรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ไม่เกิดขึ้น

1. แทคติกทางการเมือง องค์ประชุมไม่ครบ ซึ่งประเด็นนี้พรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยจะต้องเกณฑ์คนมาให้ครบมากที่สุด เพื่อให้ครบองค์ประชุม

2. การบรรจุระเบียบวาระประชุม ซึ่งในระเบียบวาระที่ปรากฏคือ วาระการเลือกนายกรัฐมนตรีอยู่ในวาระที่ 8 ไม่ได้แยกเป็นวาระเดี่ยว นั่นหมายความว่าวาระที่ 1-7 คือข้อกฎหมายที่ค้างจากการประชุมสภาล้มก่อนหน้านี้ เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้จะใช้ความพยายามในการเลื่อนระเบียบวาระการเลือกนายกรัฐมนตรีขึ้นมาเป็นวาระแรก ซึ่งการกระทำสิ่งนี้ได้คือการ ส.ส.ทุกพรรคต้องพร้อมใจกัน 400 กว่าเสียง โหวตให้เลื่อนระเบียบวาระ แต่ถ้าเท่าที่ตนฟังจากเลขาพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีการระบุว่านั่นเป็นหน้าที่ของพรรคที่จะเสนอชื่อ นายอนุทิน ดังนั้นเป็นไปได้สูงที่ สส. พรรคเพื่อไทยอาจจะไม่ได้ช่วยโหวตให้เลื่อนระเบียบวาระนี้ขึ้นมา เพราะเขาต้องการจะยื้ออำนาจรัฐบาลรักษาการอยู่แล้ว

3. การเปลี่ยนใจของพรรคประชาชน เพราะอาจเป็นไปได้ว่าพรรคประชาชนจะฉีก MOA ที่ทำกับพรรคภูมิใจไทย แล้วมาโหวตให้กับพรรคเพื่อไทยนั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุผลของข้อเสนอที่เคยยื่นให้พรรคประชาชน ทั้งการล้มรัฐธรรมนูญและร่างใหม่ หรือการใช้รัฐธรรมนูญ 2540 เป็นตัวตั้ง เป็นต้น แต่ประเด็นนี้ก็เดาใจยาก โดยเฉพาะในคืนหมาหอน

3. ดีลลับที่เกิดขึ้นภายในสภาฯ ไม่ใช่เรื่องอิทธิพลนอกสภาฯ ซึ่งปัจจุบันเกิดขึ้นได้ตลอด ด้วยการใช้แทคติกบางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถเปิดองค์ประชุมได้ ซึ่งถ้าเปิดไม่ได้ก็ต้องเลื่อนออกไปสัปดาห์หน้า ซึ่งเมื่อมีการนัดประชุมในสัปดาห์หน้ามันก็ยังคงมีกฎหมายที่ค้างคาอยู่ดี จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าระเบียบการเลือกในรัฐมนตรีจะถูกนำมาเป็นวาระพิเศษแยกหรือไม่

4. ประธานสภา เนื่องจากพรุ่งนี้ “นายวันนอร์”ประธานสภาติดภารกิจ จึงกลายเป็น นายไชยา กับ นายฉลาด นั่งเป็นประธานการประชุมแทน ซึ่งทั้ง 2 คนนี้มาจากพรรคเพื่อไทย ก็ต้องมาดูว่าประธานจากกลุ่มเกมให้เป็นกลางได้จริงหรือไม่ ถือเป็นการวัดความเก่าเกมของทั้ง 2 คนด้วย ว่าจะทำให้สภาเดินต่อได้หรือไม่ได้

เพราะฉะนั้น นายสมชาย ยืนยันได้เลยว่าการประชุมพรุ่งนี้ยืดเยื้อแน่นอนเพราะพรรคเพื่อไทยจะสู้ทุกดอกทุกเม็ดเพื่อรักษาอำนาจรัฐบาลรักษาการ ซึ่งมันดีกว่าการไปเป็นฝ่ายค้าน จึงต้องจับตาทุกช็อตแบบไม่กระพริบ

นอกจากนี้ นายสมชาย ยังให้สัมภาษณ์ถึงเนื้อหาในข้อ 4 ของ MOA ระหว่างพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยที่ระบุไม่ให้พรรคภูมิใจไทยแสวงหาเสียงเพื่อให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก ซึ่งอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญที่จะทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลมีปัญหาและส่งผลต่อการริเริ่มเสนอกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ จนสุดท้ายแล้วอาจทำให้ MOA ข้อนี้ไม่สามารถบังคับใช้ได้

เจ้าตัวบอกว่าจริงๆ แล้วหลังจากตนเห็นก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เป็นกติกาที่เขียนแล้วรู้สึกประหลาด ซึ่งมันก็เป็นเรื่องของการตกลงกันของ 2 พรรค แต่ตนเชื่อว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่พรรคภูมิใจไทยจะไม่หาเสียงระหว่าง 4 เดือนนั้น เพราะแม้จะไม่หาโจ่งแจ้ง แต่ถ้า ส.ส.พรรคใดรู้สึกอยากจะลาออกแล้วมาอยู่พรรคภูมิใจไทย ก็ห้ามความรู้สึกไม่ได้ เพียงแค่พรรคภูมิใจไทยจะปฏิบัติตามข้อตกลงหรือไม่ ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็อาจจะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ถ้าปฏิบัติตามก็รับเข้าพรรคไม่ได้ แต่มันก็มีทางออกอื่นคือให้ สส. กลุ่มนั้นไปอยู่กับพรรคอื่นก่อน เรียกง่ายๆ ว่าเป็นการฝากเลี้ยง แล้วเมื่อไหร่ที่รอดพ้นจากการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ค่อยดึงเข้าพรรค

เพราะด้านของ นายสมชาย ก็ไม่เชื่อว่าความสัมพันธ์ของพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยจะหวานชื่นไปตลอดแบบนี้ เพราะนี่เป็นการรวมตัวของพรรคการเมืองคนละขั้ว เป็นการรวมการเฉพาะกิจเพื่อประโยชน์ของแต่ละพรรค เช่นเดียวกับสมัยที่พรรคเพื่อไทยรวมตัวกับพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์

อย่างไรก็ตาม นายสมชาย บอกว่า ตนอยากเห็นการเมืองที่ตรงไปตรงมา ให้คำมั่นสัญญาอะไรไว้กับประชาชนก็ควรจะทำให้ได้ ไม่อย่างนั้นการเมืองของไทยก็จะกลายเป็นเรื่องที่บิดพลิ้วไปตลอด ทำให้ภาพลักษณ์ของการเมืองไทยไม่โปร่งใสและไม่สุจริต จากที่จะต้องทำงานการเมือง ก็กลายเป็น "เล่นการเมือง"

ประเทศไทยควรจะปฏิรูปการเมืองด้วยการยืนยันการทำหน้าที่ของนักการเมืองที่ทำประโยชน์ต่อส่วนรวม แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นว่าข้อเสนอจาก 3 ก๊กนี้ว่าจะทำประโยชน์เพื่อประชาชน โดยเฉพาะข้อเสนอเกี่ยวกับการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา แต่ส่วนใหญ่เป็นข้อเสนอเพื่อประโยชน์ของพรรค ของ สส. ทั้งนั้น ดังนั้นตนก็หวังว่าการเลือกนายกรัฐมนตรีที่จะถึงนี้ ไม่ว่าเราจะได้หรือไม่ได้นายก ก็อยากเรียกร้องให้ฝ่ายนิติบัญญัติทำหน้าที่ตรวจสอบทันทีด้วย

Advertisement

แชร์
"สมชาย" ไม่แปลกใจยุบสภาถูกตีกลับ เพราะ "ภูมิธรรม" ไม่มีอำนาจแต่แรก