นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เผยว่า เมื่อเช้า เวลาระหว่าง ช่วงถึง 8-9 โมงเช้า มีความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยและความเคลื่อนไหวของพรรคประชาชน ที่ตนเองตั้งข้อสังเกตเนื่องจากได้มีการทราบตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้วว่า พรรคประชาชน จะมีการแถลง สรุปผลการตัดสินใจ ในเวลา 9:30 น. แต่ปรากฏว่าในช่วงเช้าได้มีการขยับเวลามาเป็น 9.00น. หลังจากนั้น ก็มีข่าวว่ารัฐบาลจะออกมาแถลงข่าวช่วง 09.00 น. สรุปพรรคประชาชนได้ออกมาแถลงในเวลา 08:45 น.
คำถามของตนคือ เหตุผลที่มีการเร่งเวลาให้เร็วขึ้น มีเหตุปัจจัยเกิดจากอะไร ซึ่งก็ยังไม่มีใครออกมาอธิบายได้ ก็เลยตั้งข้อสังเกตเอาเองว่า เป็นการออกมาเร่งแถลงก่อนรัฐบาลหรือไม่ ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่ใช่การกล่าวหาแต่เป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตของตนเองเท่านั้น
โดยตนเองมีความเชื่อว่าการพูดคุยเจรจาหาข้อสรุป ร่วมกันระหว่างพรรคภูมิใจไทย กับพรรคประชาชน เกิดขึ้นมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ว่ามีการเตรียมการจะโหวตให้นายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งการพูดคุยกันระหว่างพรรคการเมืองไม่ใช่เรื่องผิด และการโหวต ก็เป็นไปตามระบบรัฐสภา ซึ่งเข้าใจได้ เพียงแต่ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย ตนเองในฐานะนักสังเกตการณ์ทางการเมืองก็อยากจะสังเกตดู ในทุกมิติว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพื่อเก็บไว้เป็นกรณีศึกษา
นายณัฐวุฒิ เผยว่า โดยปกติการยุบสภาจะไม่มีการป่าวประกาศกัน ซึ่งทุกคนจะได้ทราบหลังมีผลออกมาแล้ว ดังนั้นการยื่นเข้าสู่กระบวนการตั้งแต่เมื่อวานนี้ แสดงให้เห็นได้ว่ารัฐบาลดำเนินการ และปฏิบัติไปตามแนวทางที่เป็นมา ส่วนเช้าวันนี้เหตุที่ต้องออกมาพูดให้ชัด เนื่องจากเกิดกรณีที่เกี่ยวเนื่องและอาจจะส่งผลกระทบระหว่างกัน ก็คือพรรคการเมือง จับขั้วกันได้ ระหว่างพรรคประชาชนและภูมิใจไทย และแน่ใจว่าจะเป็นเสียงข้างมากในการโหวตจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ดังนั้นรัฐบาลที่รักษาการอยู่จึงต้องพูดให้ชัดว่ามีการยื่นยุบสภาไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติเพราะกระบวนการในการยื่นยุบสภา โดยทั่วไปที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อมีการยื่นแล้ว ในที่สุดก็จะมีผลลงมาตามนั้น การที่ นายภูมิธรรม ตัดสินใจพูดในเช้าวันนี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาที่ใหญ่ไปกว่านี้อีก ว่าในกระบวนการที่มีการยื่นยุบสภาไปแล้ว แต่สภากลับจะมีการโหวตนายกรัฐมนตรีอีกคน ซึ่งจะทำให้สถานการณ์นั้นจะยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก เมื่อขณะนี้ยังอยู่ในกรอบเวลาตามปกติ ก็ถือว่าเป็นการสมควร ที่สภาจะยังไม่บรรจุยัตติการโหวต เลือกนายกรัฐมนตรีเข้าไป ควรจะรอให้มีข้อสรุปประการใดประการหนึ่ง ของการยุบสภาก่อนหรือไม่ แล้วค่อยว่ากันในขั้นตอนของการโหวตนายกรัฐมนตรี
ส่วนกรณีหากถามว่าทำไมถึงไม่ยุบสภาตั้งแต่ตอนที่มีคลิปเสียง ซึ่งเวลานั้น เป็นการเผชิญหน้าระหว่างไทยกับกัมพูชากำลังเข้มข้น สมเด็จ ฮุนเซน และ ฮุน มาเนต มีการเคลื่อนไหวทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เขย่าสถานการณ์ในประเทศไทยทุกวันและตลอดทั้งวัน ซึ่งมีความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะด้วยกำลัง ดังนั้นหากมีการยุบสภา สภาพของรัฐบาลจะเป็นรัฐบาลรักษาการ สภาผู้แทนราษฎรจะไม่มีอยู่ การทำงานของรัฐบาลก็จะเป็นไปตามกรอบกฎหมายของ กกต.ซึ่งมีอำนาจจำกัด ทั้งเรื่องของคนและเรื่องของงบประมาณ จึงเห็นว่าการยุบสภาไม่เหมาะสำหรับสถานการณ์ ณ ขณะนั้น แต่ปัจจุบันนี้นายกรัฐมนตรีแพทองธาร พ้นจากตำแหน่ง ทำให้เกิดเงื่อนไขที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาในการเมืองไทย และสุ่มเสี่ยงจะเกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีก ดังนั้นมองว่าการคืนอำนาจให้กับประชาชน ตัดสินใจ น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด เพราะขณะนี้อย่างน้อยพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน ก็เห็นไปในทิศทางเดียวกันคืออยากให้มีการยุบสภา
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เผยว่า ก็ถือเป็นสิทธิ์ของนายศุภชัยฯ เพียงแต่ว่าตนเองเห็นว่า การยื่นยุบสภาโดยนายภูมิธรรม ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ไม่ได้มีกฎหมายห้าม เมื่อไม่มีกฎหมายห้าม ก็ย่อมกระทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่เมื่อตัวของนายศุภชัยฯ เห็นว่าผิดกฎหมายแล้วไปแจ้งความดำเนินคดี ก็ต้องรอดูว่าจะแจ้งข้อกล่าวหาอะไรบ้างแต่ที่ตนเองทราบคือ มาตรา 157 และขณะเดียวกันมีข่าวปรากฏออกมาว่ามีนักเคลื่อนไหวบางกลุ่ม ได้เข้าไปแจ้งความเอาผิดมาตรา 112 กับ นายภูมิธรรมด้วย ตนเองจึงตั้งข้อสังเกตและตั้งคำถามไปถึงพรรคประชาชนว่า เมื่อพรรคประชาชนเห็นว่านายภูมิธรรม มีอำนาจในการยุบสภาแน่ๆ และเรียกร้องมาโดยตลอด กรณีที่คนของพรรคภูมิใจไทย ที่พรรคประชาชนบอกว่า ต้องการจะโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรี ไปแจ้งความเอาผิด กับ นายภูมิธรรม ก็ไม่ทราบว่า จะแจ้งข้อกล่าวหาอะไรบ้าง ซึ่งตนเองก็จะเก็บข้อมูลในฐานะนักสังเกตการณ์ทางการเมือง
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เผยว่า จากตัวเลขที่มีการประกาศกัน 30-40 คน ขณะนี้ ที่ปรากฏชื่ออย่างเป็นทางการ เนื่องจากว่าเจ้าตัวไม่ได้ออกมาปฏิเสธ มีประมาณ 8 คน
อย่างไรก็ตามต้องสังเกตการดู หากมีการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยของพรรคภูมิใจไทยได้ ตัวเลขคณิตศาสตร์ทางการเมืองของแต่ละพรรคจะเป็นอย่างไรต่อ แต่เมื่อมีเงื่อนไข 1 ใน 5 ข้อของพรรคประชาชนว่า พรรคภูมิใจไทย จะไม่สั่งสมกำลัง สส. จนสุ่มเสี่ยงจะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก หากทำก็ถือว่าผิดเงื่อนไข จุดนี้ก็น่าสังเกตการณ์อีกว่า ถ้าพรรคอื่นๆ ที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล กับภูมิใจไทยอ้างว่า "หนูป่าวนะ เขามาเอง" สมมุติว่า สส.งูเห่า ไหลไปเข้าพรรคกล้าธรรม หรือ พรรคอื่นๆ จะถือว่าผิดเงื่อนไขหรือไม่ เพราะคนเซ็นข้อตกลง คือหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ หัวหน้าพรรคประชาชน 2 คนเท่านั้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้ต้องตามดูกันต่อ
Advertisement