รัฐบาลเปิดทำเนียบต้อนรับสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ ย้ำความเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-สหรัฐฯ พร้อมชี้แจงข้อเท็จจริงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา
วันที่ 25 ส.ค. ที่ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล คณะสมาชิกรัฐสภาสหรัฐอเมริกา (Congressional Delegation: CODEL) จากพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต เข้าเยี่ยมคารวะ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย ภายใต้โครงการสร้างเสริมความรู้เกี่ยวกับประเทศไทยแก่สมาชิกรัฐสภาสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2568
โดยคณะฝ่ายไทยที่เข้าร่วม ได้แก่ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และนายสุริยา จินดาวงษ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน สำหรับคณะสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ ประกอบด้วย สส. Beth Van Duyne และ สส. Richard McCormick จากพรรครีพับลิกัน สส. Terri A. Sewell และสส. Suhas Subramanyam จากพรรคเดโมแครต
ภายหลังเสร็จสิ้น นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและยินดีต่อการเยือนไทยของคณะสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น พร้อมหวังว่า คณะสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ จะได้รับประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินนโยบายของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ต่อไป โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่าไทยให้ความสำคัญต่อความเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ ที่มีมาอย่างยาวนาน และเห็นว่าทั้งสองฝ่ายยังมีศักยภาพที่จะขยายความร่วมมือระหว่างกันได้อีกมาก โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและพลังงาน พร้อมกันนี้ยังได้ขอบคุณสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ ที่ช่วยดูแลคนไทยในสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นชุมชนไทยที่ใหญ่ที่สุดในต่างประเทศ
คณะสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ ขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมทั้งชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่มีประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ใกล้ชิดกันมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน โดยคณะสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ เห็นว่า ไทยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งมากในภูมิภาค และมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยี จึงพร้อมส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันมากขึ้น โดยเฉพาะด้านการค้า และความมั่นคง นอกจากนี้ คณะสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ ได้สอบถามถึงประเด็นความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งในวันพรุ่งนี้ คณะสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ จะเดินทางลงพื้นที่ไปยังจังหวัดอุบลราชธานี
สำหรับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นประเด็นเร่งด่วนที่กระทบต่อประชาชน รองนายกรัฐมนตรีได้หารือกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2 ครั้ง พร้อมขอขอบคุณสหรัฐฯ ที่สนับสนุนให้เกิดการหยุดยิง ซึ่งไทยมุ่งมั่นปฏิบัติตามการหยุดยิงและแก้ปัญหาโดยสันติ ผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ซึ่งในวันที่ 10 กันยายน 2568 จะมีการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ร่วมกันอีกครั้งเพื่อทราบความคืบหน้า โดยในการประชุม GBC ครั้งที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้เข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวด้วย ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า การสนับสนุนของสหรัฐฯ และประเทศอาเซียน จะมีส่วนช่วยให้การแก้ไขปัญหาในครั้งนี้มีพัฒนาการไปในทางที่ดีมากยิ่งขึ้น
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรียินดีที่คณะสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ จะได้มีโอกาสเดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานีในวันพรุ่งนี้ โดยฝ่ายไทยได้นำคณะทูตและคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศลงพื้นที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาแล้ว 2 ครั้ง เพื่อให้เห็นข้อเท็จจริง ความเสียหายต่อพลเรือนจากการโจมตีของกัมพูชา รวมถึงการใช้ทุ่นระเบิดของฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่ของไทยแม้ภายหลังการหยุดยิง ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ และถือเป็นการละเมิดพื้นที่อธิปไตยของไทยและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและอนุสัญญาออตตาวาด้วย ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีย้ำจุดยืนว่า ไทยต้องการให้มีการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาร่วมกันด้วยสันติวิธีและความจริงใจ
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือประเด็นความร่วมมือที่สำคัญร่วมกัน ดังนี้
1) ด้านการทหารและความมั่นคง ถือเป็นเสาหลักของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ โดยรองนายกรัฐมนตรียินดีที่ความเป็นพันธมิตรของไทยกับสหรัฐฯ มีส่วนช่วยส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคมาหลายทศวรรษ โดยไทยและสหรัฐฯ มีการฝึก Cobra Gold ร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ และล่าสุด ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้บัญชาการทหารสูงสุดภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ประจำปี ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-28 สิงหาคม 2568 โดยรองนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า การประชุมดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อความร่วมมือเพื่อรับมือประเด็นความท้าทายต่าง ๆ ร่วมกัน ตลอดจนยืนยันว่าไทยพร้อมจะร่วมมือกับสหรัฐฯ ต่อไป
2) ด้านเศรษฐกิจ สหรัฐฯ เป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยมาอย่างยาวนาน ทั้งในด้านการค้าและการลงทุน โดยเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 2 ของไทย ขณะเดียวกันไทยยังเป็นฐานสำคัญในการลงทุนและดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนสหรัฐฯ ในภูมิภาคมาอย่างยาวนาน โดยรองนายกรัฐมนตรียินดีที่การลงทุนของไทยในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีมูลค่ารวมกว่า 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และสร้างงานในสหรัฐฯ กว่า 11,000 ตำแหน่ง
นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ไทยได้มีการหารือกับรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับเรื่องภาษีต่างตอบแทนของสหรัฐฯ และไทยพร้อมร่วมมือกับสหรัฐฯ เพื่อส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สมดุลมากยิ่งขึ้น โดยขอรับการสนับสนุนจากคณะสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ ในเรื่องนี้ด้วย
3) ความร่วมมือในระดับภูมิภาค ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ไทยได้ร่วมมือกับสหรัฐฯ ผ่านสถานการณ์ท้าทายต่าง ๆ มามากมาย และได้สนับสนุนสหรัฐฯ ในความร่วมมือระดับภูมิภาค ทั้งในกรอบอาเซียน ACMECS และความร่วมมือแม่โขง-สหรัฐฯ (Mekong-U.S. Partnership) ทั้งนี้ ในบริบททางภูมิรัฐศาสตร์และการแข่งขันทางยุทธศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจ ไทยหวังว่าสหรัฐฯ จะยังคงบทบาทที่แข็งขันและสร้างสรรค์ในภูมิภาคต่อไป ซึ่งไทยพร้อมสนับสนุนบทบาทที่สร้างสรรค์ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคอย่างเต็มที่
Advertisement