นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการ ศบ.ทก. เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยตรวจพบรายงานจากสื่อระดับโลก เช่น Reuters ซึ่งเผยแพร่บทความเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยอ้างแหล่งข่าวทางการทูต 3 รายว่า สมเด็จฯ ฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และประธานวุฒิสภาคนปัจจุบัน ยังคงมีบทบาทโดยตรงในการควบคุมและสั่งการด้านการทหารในสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา แม้จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งในฝ่ายบริหารอย่างเป็นทางการแล้วก็ตาม
โดยรายงานระบุว่า สมเด็จฯ ฮุนเซนปรากฏตัวในโลกออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ทั้งการสวมเครื่องแบบทหาร ประชุมกับผู้นำกองทัพ และเผยแพร่ข้อความที่มีเนื้อหาโจมตีประเทศไทยผ่าน Facebook ส่วนตัว ในขณะที่นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ซึ่งเป็นบุตรชายของสมเด็จฯฮุนเซน กลับมีบทบาททางการเมืองที่เงียบลงอย่างเห็นได้ชัด
ขณะเดียวกัน นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ของไทย โดยรองศาสตราจารย์ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไทยว่า พฤติกรรมของสมเด็จฯ ฮุนเซนในช่วงวิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา อาจเข้าข่ายละเมิดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรกัมพูชา พ.ศ. 2536 โดยเฉพาะ มาตรา 2 และมาตรา 53 ซึ่งระบุหลักการสำคัญว่า:
- กัมพูชาต้องไม่รุกรานประเทศอื่น และไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
- กัมพูชาต้องแก้ไขปัญหาทางการเมืองด้วยสันติวิธี และดำรงความเป็นกลางอย่างถาวร
- กัมพูชาห้ามเข้าร่วมพันธมิตรทางทหารที่ขัดต่อหลักความเป็นกลาง
- กัมพูชาต้องไม่อนุญาตให้มีฐานทัพต่างชาติในประเทศ และห้ามมีฐานทัพของตนเองในต่างแดน เว้นแต่ในกรอบคำร้องของสหประชาชาติ
- กัมพูชาต้องยึดแผนที่มาตราส่วน 1:100,000 ที่จัดทำระหว่างปี ค.ศ. 1933–1953 ซึ่งเป็นแผนที่ที่ได้รับการรับรองในเวทีระหว่างประเทศช่วงปี ค.ศ. 1963–1969 ในการนิยามเขตแดน ไม่ใช่แผนที่ขนาด 1:200,000 ที่กล่าวอ้างในปัจจุบัน
นอกจากนี้ รองศาสตราจารย์ปริญญา ฯ ยังชี้ว่า การกระทำของสมเด็จฯ ฮุนเซนและนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ละเมิดทั้งกฎหมายระหว่างประเทศ (เช่น การโจมตีพลเรือน การยิงจรวดใส่โรงพยาบาล และการฝังกับระเบิดในพื้นที่ สำคัญทางศาสนาและโบราณสถาณ) และยังขัดต่อรัฐธรรมนูญของกัมพูชาเองอย่างชัดเจน โดยการสั่งการให้รุกรานประเทศเพื่อนบ้าน และการอ้างแผนที่ผิดฉบับจากที่กฎหมายกำหนด
นายจิรายุกล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้ประชาคมโลกจับตาการใช้อำนาจที่อยู่นอกกรอบรัฐธรรมนูญของกัมพูชาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการที่ผู้นำซึ่งพ้นวาระไปแล้ว ยังคงมีอิทธิพลเหนือกองทัพ และสั่งการปฏิบัติการทางทหาร อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพในภูมิภาคอาเซียนอย่างรุนแรง
"รัฐบาลไทยยืนยันว่า ประเทศไทยมีจุดยืนชัดเจนในการยึดมั่นแนวทางสันติวิธี และเคารพอธิปไตยของประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมเรียกร้องให้ประชาคมอาเซียน และสื่อมวลชนระหว่างประเทศ ร่วมกันตรวจสอบบทบาทของบุคคลที่อยู่นอกโครงสร้างบริหารของกัมพูชา แต่ยังมีอิทธิพลในเชิงปฏิบัติที่อาจละเมิดกฎหมายภายในและกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ซึ่งอาจเป็นอาชญากรสงคราม" นายจิรายุ ระบุ
Advertisement