วันที่ 19 ก.ย. 68 เวลา 08.45 ที่ศาลอาญาถนนรัชดา น.ส.อัญชะลี ไพรีรักษ์ สื่อมวลชนอาวุโส เดินทางมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) บุกช่อง NBT คดีดำ อ.1033/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้อง เหตุเกิดเมื่อปี 2551
โดยให้สัมภาษณ์ถึงความคาดหวังผลการตัดสินในวันนี้ว่า คดีนี้ผ่านมาแล้วประมาณ 15 ปี ศาลชั้นต้นตัดสินจําคุกหนึ่งปีโดยไม่รอลงอาญา และศาลอุทธรณ์ก็ยืนตามศาลชั้นต้น ซึ่งเราก็สู้ต่อในชั้นฎีกา ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรเราพร้อมน้อมรับ เพราะเราและทีมทนายทําอย่างเต็มที่ แค่บอกศาลตามความเป็นจริง ว่าเราทําอะไร สิ่งที่ทําไม่ได้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว แต่ทําเพื่อส่วนรวม เพื่อสาธารณะ เราไม่ได้รับอะไรจากสิ่งที่ทําลงไป ซึ่งตนต่อสู้กับระบอบทักษิณ เกือบจะ20 ปีแล้ว ถ้าเราทําเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ตลอด20 ปีที่ผ่านมา คนก็จะเห็นธาตุแท้ของเรา แต่ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา คนก็ได้เห็นธาตุแท้ของเรา ได้เห็นถึงความมุ่งมั่น เห็นถึงความเชื่อ และความคิดของเรา ซึ่งจะไม่ไปเรียกร้องให้ทุกคนต้องเชื่อตามเรา เรายอมรับในสิ่งที่ทําลงไป เข็มนาฬิกาหมุนวนกลับไม่ได้ ความคิดเราก็เช่นกัน ส่วนหากผลออกมา ยอมรับว่าตนได้เตรียมสุขภาพ รวมถึงมีการศึกษาว่าเราจะใช้ชีวิตข้างในอย่างไร ตนมีเพื่อนที่ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน ที่เคยติดคุกมาแล้ว ก็มาพูดให้ฟังว่าจะต้องอยู่อย่างไร และต้องทําอะไรบ้าง
เมื่อถามว่า ความเชื่อมั่นในการที่จะช่วยประเทศ แต่เกิดเหตุอย่างนี้ทําให้ท้อหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ไม่เคยเลย ยืนยันว่า ทําไปภายใต้กรอบของกฎหมาย สิ่งที่เราทําไปทั้งหมด มีบ้างที่อาจจะล้ําเส้นไป เราก็ยอมรับ ส่วนที่มีประชาชนให้กําลังใจเยอะ หรือไม่นั้น ตนขอขอบคุณ เต็มหน้าฟีดไปหมด
เมื่อถามย้ำว่า ส่วนตัวกําลังใจดีหรือไม่ น.ส.อัญชะลี กล่าวว่า ตนกําลังใจดีมาก กินอิ่มนอนหลับมาตลอดหนึ่งเดือน เมื่อเรารับทราบนัดฟังคําพิพากษา ก็ใช้เวลาในการเตรียมร่างกายเตรียมสุขภาพ รวมถึงจัดการเรื่องหน้าที่การงาน ซึ่งตนเตรียมไว้ทั้งหมดแล้ว ส่วนกรณีที่มีคนออกมาเปรียบเทียบ ตนกับนายทักษิณ ชินวัตร นั้น ตนได้เห็นแล้ว ยอมรับว่าถูกต้อง เพราะกว่าที่เราจะลากนายทักษิณเข้าคุกได้นั้นก็ยาก มีความลําบากลําบน ตนนั้นให้มาศาลตนก็มา และหากท่านตัดสินเช่นไรก็น้อมรับ ซึ่งในคดีนี้มีบางคนที่เสียชีวิตไปแล้ว และมีบางคนที่ป่วยหนัก คือนายภูวดล ทรงประเสริฐ แต่เราไม่ใช้วิธีการขอเลื่อน แม้ตามกฎหมายจะสามารถหากมีคนป่วย เนื่องจากตนไม่เห็นว่าหากเลื่อนไปแล้วจะได้ประโยชน์ จึงให้ทนายทําเอกสาร ขอให้ศาลได้พิจารณาตามกระบวนการ และเราได้เตรียมใจมาแล้ว หากไม่ได้กลับบ้าน เราจะใช้ที่ดีในเรือนจํา หากช่วยอะไรได้ก็จะช่วย แต่หากเราได้กลับบ้าน ต่อจากนี้เราก็จะใช้ชีวิตที่ดี ให้เป็นประโยชน์ต่อทุกคน และสาธารณชนเหมือนเดิม
ส่วนขั้นตอนการขอฎีกานั้น เราต้องเขียนว่ารับสารภาพว่าเราผิดจริง และให้เหตุผลว่าทําไปเพื่ออะไร ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังการกระทําครั้งนั้น และขอให้ศาลโปรดจงให้เห็นว่าสิ่งที่เราทําเป็นอย่างไร นอกจากนั้นไม่ได้ขออะไรเลย พร้อมยืนยันว่าไม่ได้มีการส่งเอกสารเพิ่มเติม รวมถึงไม่มีการโต้แย้งอื่นๆ เพียงแต่ขอความเมตตาว่าต้องการขอฎีกา ว่าทําเพื่อประโยชน์สาธารณะ และย้ําว่าเราบริสุทธิ์ใจ ไม่โต้แย้งไม่บิดพลิ้ว และตอกย้ําว่าเราไม่ได้ทําเพื่อผลประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ส่วนมองว่าผลการตัดสินในวันนี้จะส่งผลต่อการต่อสู้ทางการเมืองหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ตอบว่า ไม่เลย เพราะตนไม่ใช่นักการเมือง ตนเป็นภาคประชาชน ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบหรือกระเทือนต่อจิตใจ อย่างไรก็ตามตนยังคิดเหมือนเดิมและจะทําต่อไป ไม่ว่าจะติดคุกหรือไม่ เพราะตนไม่ใช่คนเหลอะแหละ ขอยืนยันว่าหากผลตัดสินออกมาทางลบ ก็จะไม่เป็นอุปสรรค เพราะตนอยากให้บ้านเมืองนั้นดี อยากให้ทุกคนอยู่ในสังคมที่มีคุณภาพ สิ่งที่ทํามาตลอด 20 ปีตนไม่ได้มียศฐาบรรดาศักดิ์หรือตําแหน่งอะไรเลย ทุกครั้งที่ออกจากการเคลื่อนไหวตนก็กลับมาทํางานสื่อเหมือนเดิม ฉะนั้นคําพิพากษาไม่ว่าจะออกมาอย่างไร ผิดก็คือผิด เมื่อเราได้ออกมาแล้ว หากการเมืองไม่ดีเราก็จะทําอีก ไม่มีอะไรสามารถปิดกั้นและขัดขวางตนได้ และเชื่อว่าผลคําพิพากษาวันนี้จะไม่มีผลต่อมวลชน เพราะเราไม่เคยปลุกระดม หรือปลุกเร้าผู้คน เพียงแต่บอกความจริงให้กับประชาชนด้วยตัวของตัวเอง เช่นวันนี้ทั้งญาติและเพื่อนต้องการที่จะเดินทางมา ตนก็ไม่ให้มา ยืนยันว่าจะมาที่นี่เพียงคนเดียว ถ้าได้กลับบ้านก็จะกลับด้วยกัน แต่ถ้าไม่ได้กลับก็ค่อยมาเยี่ยม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ มีนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี นายสมชาย แสวงการ อดีตสว. นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ มาให้กำลังใจ โดย นพ.วรงค์ ได้สวมกอด น.ส.อัญชะลี ก่อนให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน
Advertisement