วันที่ 12 ก.ค. 68 นาย ปริเยศ อังกูรกิตติ โฆษกพรรคไทยสร้างไทย เปิดเผยว่า ได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับขบวนการลักลอบนำน้ำมันปาล์มจากประเทศมาเลเซีย จากประชาชนในพื้นที่ โดยเข้ามาในประเทศไทย ผ่านช่องทางเขตปลอดอากร (Free Zone) โดยตั้งคำถามถึงหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องว่า น้ำมันปาล์มที่อ้างว่าเพื่อส่งออก กลับมีความผิดปกติชัดเจน
ล่าสุดพบตู้คอนเทนเนอร์ 4 ตู้ บรรทุกน้ำมันปาล์มจากมาเลเซีย ถูกส่งต่อจากท่าเรือแหลมฉบัง เข้าเขตปลอดอากรชื่อ “ฟรีโซนปลาวาฬ” แล้วลากขึ้นมาลงสินค้าที่ ท่าขนถ่ายสินค้า 36 อ.แม่สอด จ.ตาก ทั้งที่รัฐบาลมีนโยบาย "3 ตัด" และล็อกชายแดนไม่ให้มีการลงสินค้าผ่านแดนในพื้นที่ดังกล่าว
นายปริเยศ ตั้งข้อสังเกตว่า การเคลื่อนย้ายสินค้าน้ำมันปาล์มเข้าสู่เขตปลอดอากร ต้องผ่านการอนุญาตจากกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์เท่านั้น และหากนำเข้าเพื่อส่งออก ก็ต้องซื้อสินค้าภายในประเทศในสัดส่วน “2 เท่า” ของปริมาณที่นำเข้า แต่ข้อมูลในพื้นที่กลับพบว่าไม่มีการปฏิบัติตามเงื่อนไขเหล่านี้อย่างครบถ้วน อีกทั้งยังมีเจ้าหน้าที่อ้างว่า เจ้าของฟรีโซนปลาวาฬมีอิทธิพลใหญ่ถึงระดับรัฐมนตรี และสามารถจัดการให้มีการ "ย้ายนายตรวจ" มาประจำแม่สอด เพื่อตรวจปล่อยเฉพาะสินค้าของตน
“นี่ไม่ใช่แค่การลักลอบธรรมดา แต่เป็นการบิดเบือนกฎหมาย และแทรกแซงอำนาจรัฐอย่างชัดเจน ผมขอตั้งคำถามตรงไปที่กระทรวงการคลังและกรมศุลกากรว่า สินค้าเหล่านี้ผ่านเข้ามาได้อย่างไร และขอตั้งคำถามไปยังกระทรวงพาณิชย์ด้วยว่า ใครเป็นคนลงนามอนุมัติการนำเข้าและส่งออกนี้” นายปริเยศ กล่าว
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสมาคมอุตสาหกรรมน้ำมันพืชไทยระบุว่า น้ำมันปาล์มในไทยมีราคาขายปลีกอยู่ที่ 68–70 บาทต่อลิตร ขณะที่ต้นทุนน้ำมันจากมาเลเซียเพียง 57 บาท/กิโลกรัม หากปล่อยให้ลักลอบนำเข้าอย่างเป็นระบบ โดยไม่เสียภาษีนำเข้า ซึ่งปกติสูงกว่า 30% ต่อหน่วย อาจทำให้รัฐสูญเสียรายได้ไม่ต่ำกว่า 300–500 ล้านบาทต่อปี ยังไม่รวมผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มไทยและผู้ผลิตภายในประเทศที่ถูกบิดเบือนกลไกราคาอย่างรุนแรง จึงเรียกร้องให้หน่วยงานตรวจสอบ ได้แก่ กรมศุลกากร ป.ป.ช. และกรมการค้าต่างประเทศ ลงพื้นที่สืบสวนข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วนต่อไป
Advertisement