
วันที่ 6 ธ.ค. 68 นาย ไชยชนก ชิดชอบ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวการสแกนม่านตาแลกกับเงินบิตคอยน์ ว่า ก่อนอื่นขอชี้แจงกับประชาชนก่อนว่าเทคโนโลยีการสแกนม่านตาไม่ใช่เทคโนโลยีที่ไม่ดี เทคโนโลยีไม่ได้ผิด จริงๆ แล้วการสแกนม่านตาเป็นทางออกด้วยซ้ำ หากนำมาใช้ในรูปแบบที่ถูกต้องจะกลายเป็นสิ่งที่กันไม่ให้เกิดการสแกนอีกต่อไป เพราะว่าม่านตาเป็นการยืนยันตัวตนที่ละเอียดสูงสุดแล้ว และละเอียดกว่าลายนิ้วมือ ซึ่งอาจมีการซ้ำกันได้ แต่ม่านตาเทียบเท่าดีเอ็นเอไม่สามารถก็อปปี้ หากมีใช้ในการยืนยันตัวตนต่างๆ จะไม่สามารถสวมรอยกัน
เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่เดือน ก.พ. 68 ที่เริ่มมีข่าวเกิดขึ้น โดยมี 2 ส่วนที่เป็นปัญหา ส่วนแรกคือเรื่องของการเอาข้อมูลม่านตาไปโดยที่ไม่ได้บอกพี่น้องประชาชน หรือเป็นการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่แจ้งก่อน ส่วนที่สองคือประเด็นเรื่องของการมีค่าตอบแทนหรือมีกระบวนการอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องในการเก็บข้อมูล โดยมีการรวบรวมพี่น้องประชาชนต่างจังหวัดเข้ามาร่วมโครงการ ซึ่งประชาชนจะไม่ทราบอยู่แล้วว่าการสแกนม่านตาคืออะไร และบวกกับบริษัทไม่ได้บอกในเรื่องผลตอบแทนว่าจะได้รับการตอบแทนในรูปแบบใด ซึ่งอาจจะเป็นการให้รับเหรียญในเบื้องต้น และกลายเป็นการให้เงินสดในทางปฎิบัติ เพราะชาวบ้านไม่ได้เทรดบิทคอยน์อยู่แล้ว ไม่ได้รู้เรื่องนี้ เขาก็รับเงินมาก่อนอยู่แล้ว
นายไชยชนก กล่าวต่อว่า เมื่อเข้าไปตรวจสอบยังพบอีกว่าพอมีกระบวนเอาคนมาแล้ว ชาวบ้านบางรายไม่สามารถใช้โทรศัพท์ของตนเองเพื่อจะสแกนรับได้ เนื่องจากไม่มีตัวแอพลิเคชัน ก็มีการอำนวยความสะดวกโดยการเอาอุปกรณ์ของคนที่อยู่ในขบวนการเป็นคนรับสแกนเหรียญ และจ่ายเงินให้กับชาวบ้าน ซึ่งจากการโฆษณาในโซเชียลมีเดียที่ระบุว่าได้มากกว่า 1,000 บาท แต่เมื่อเข้าไปตรวจสอบพบว่าประชาชนจำนวนมากได้เพียง 200-500 บาทโดยประมาณ แต่ก็อาจมองได้ว่าเป็นข้อตกลงระหว่างกันในราคาตามที่ชาวบ้านยินยอม แต่อีกส่วนที่บริษัทไม่ได้สื่อสารออกไป คือ การเข้าร่วมโครงการนี้เขาจ่ายเป็นเหรียญรายเดือน เท่ากับว่าเขาไม่ได้ให้ล็อตแรกล็อตเดียว แต่เขาให้เป็นเหรียญเข้าบัญชีเรื่อยๆ ซึ่งตนมั่นใจว่าถึงแม้พี่น้องประชาชนไม่เข้าใจเรื่องม่านตา แต่ถ้าเขารับรู้ว่าต้องได้รายเดือน ไม่มีใครที่จะปฏิเสธ ดังนั้นจึงมีในเรื่องนี้ด้วยคือทั้งข้อมูลส่วนบุคคล (พีดีดีเอ) และผลประโยชน์ที่พี่น้องประชาชนควรได้รับ
นายไชยชนก ยังกล่าวถึงกรณีเอ็มโอยูระหว่างกระทรวงดีอีกับ Prime Opportunity Fund VCC เพื่อจัดตั้งโครงการนำร่องพัฒนาศูนย์ธุรกิจและการเงินดิจิทัลนานาชาติ เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไรนั้น ว่า ถ้าเราดูเนื้อหาเอ็มโอยูเพียงผิวเผินก็จะคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีและปกติ หากเราอยากยกระดับพัฒนาอุตสาหกรรมหรือด้านใดด้านหนึ่ง แต่ตอนแรกที่ตนทราบเรื่องเอ็มโอยูต้องบอกว่าตกใจ เพราะว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีการที่กระทรวงไปลงนามกับกลุ่มบริษัทที่ดูทรงแล้วไม่น่าจะได้มีการทำการยกระดับมาตรฐานการยืนยันตัวตน (KYC) ที่ดีด้วย โดยเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนนำมาสู่เรื่องนี้ พอมีคนโยงเราไม่เคยเห็นสัญญา ถามไปในกระทรวงก็ไม่มีหน่วยงานไหนที่รู้ ซึ่งตนเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่กระทรวงกลัวมีความผิดไปด้วย จึงไม่บอกตน สุดท้ายพอไปตรวจพบว่า ไม่ได้ผิด หน่วยงานอื่นๆ เขาไม่รู้จริงๆ
ต้นตอของเรื่องของเอ็มโอยูนี้ เริ่มจากเลขาของอดีตรัฐมนตรียิงเรื่องนี้ลงไป เมื่อวันที่ 25 มี.ค.67 ที่ฝ่ายกฎหมายต่างประเทศของกระทรวง และมีการส่งต่อไปยังกระทรวงการต่างประเทศ กฤษฎีกา และสำนักงานอัยการสูงสุดในวันที่ 26 มี.ค. โดยมีการตอบกลับจากกระทรวงการต่างประเทศ และกฤษฎีกาว่าโอเค และดูเหมือนเป็นการเซ็นระหว่างรัฐกับเอกชน ไม่มีความผูกมัดทางกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องเข้า ครม. จากนั้นวันที่ 27 มี.ค. มีการตอบกลับจากอัยการสูงสุดว่าให้ไปดูมติครม.ที่เกี่ยวกับความมือกับต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ให้ระมัดระวังในเรื่องของทรัพย์สินดิจิทัลที่ทำร่วมกัน เพราะในเอ็มโอยูระบุว่าให้เป็นของทางผู้พัฒนาระบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทางรัฐไม่ได้เป็นเจ้าของแต่อย่างใด ซึ่งอัยการสูงสุดแนะนำว่าควรเป็นเจ้าของร่วมกัน แต่ก็มีการลงนามเสร็จสมบูรณ์ในวันที่ 27 มี.ค. 67
“เท่ากับว่ากระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่ลงไปทางเลขาฯ อดีตรัฐมนตรี ผ่านทุกกระบวนการแล้วย้อนกลับมาผ่านการเซ็นโดยปลัดกระทรวง และรัฐมนตรีที่รับทราบ ใช้เวลาเพียง 3 วัน ในการเซ็นเอ็มโอยู ระหว่างประเทศยังไม่พอ ยังเป็นการเซ็นระหว่างภาครัฐกับเอกชน มันเป็นอะไรที่รวดเร็วมาก” นายไชยชนก กล่าว
นายไชยชนก กล่าวว่า เมื่อเข้าไปดูเนื้อหาภายในยิ่งพบสิ่งที่น่ากังวล อาทิ สิ่งที่ระบุว่าตัวบริษัท ทีไอดีซี เวิลด์เวิร์ส จำกัด ที่มีความเชื่อมโยงกับบริษัท Prime Opportunity Fund VCC นั้น จะเป็นบริษัทที่ทำตามกฎหมายนี้โดยมีแซนด์บ็อกซ์ โดยที่มีกระทรวงดีอีกำกับในเชิงกฎระเบียบกฎหมาย เหมือนเป็นการละเว้นด้วยกฎหมายพิเศษ แต่พอไปตรวจสอบก็ไม่ได้มีกฎหมายกำกับดูแลจากกระทรวง พูดง่ายๆ คือทำเสร็จวันนั้น ตั้งคณะทำงานช่วงเดือน เม.ย. 67 แล้วก็ไม่ได้มีการประชุมอะไรเลย นอกจากนั้นเอ็มโอยูนี้ยังระบุในเรื่องที่ปัจจุบันยังไม่ถูกกฎหมายในประเทศไทย เช่น พนันออนไลน์ เป็นต้น
นายไชยชนก กล่าวว่า จากนั้นช่วงเดือน ต.ค. 67 มีการขอความอนุเคราะห์ ให้เอาเว็บไซต์หรือโลโก้ของกระทรวงไปแปะ ซึ่งในช่วงปี 67 มีการสื่อสารกันระหว่างกระทรวงและ TIDC และมีการเอาโลโก้ไปแปะไว้บนเว็บไซต์ โดยมีโลโก้ TIDC ดีอี และเอ็นที หลังจากนั้นเมื่อเดือน ม.ค.68 บริษัทภายใต้เครือข่าย TIDC คือ ทีไอดีซี เวิลด์เวิร์ส เข้ามาในดีอีเพื่อประชุมกับทางสำนักงานพัฒนาธุรกิจกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ที่ดูแลในเรื่องแพล็ตฟอร์มต่างๆ มาขออนุญาตในการทำกระบวนการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลภายในประเทศ ซึ่งเอ็ดด้าไม่ได้อนุญาต และขออนุญาตจากทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) หน่วยงานที่ดูแลทางด้านข้อมูลส่วนบุคคล ที่อยู่ภายใต้กระทรวงดีอี ก็ไม่ได้อนุญาตเช่นกัน เท่ากับบริษัทมาขออนุญาตและได้รับการปฏิเสธแล้ว ซึ่งทั้งเอ็ดด้าและพีดีพีซีไม่มีใครรู้เรื่องเอ็มโอยู ไม่มีใครรับรู้เลย แต่ก็เริ่มมีการสแกนม่านตาในเดือน ก.พ.68
นายไชยชนก กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ตนได้ยกเลิกทันทีที่ทราบว่ามีเอ็มโอยูเรื่องนี้ ตั้งแต่เริ่มมีข่าวเมื่อเดือนที่แล้ว เพราะกระทรวงไม่ควรมีกระบวนการที่รวดเร็วขนาดนี้ในการเซ็นเอ็มโอยู และในกระบวนการทำเอ็มโอยูควรมีกระบวนการ KYC ตรวจสอบประวัติให้ดีๆ ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมที่จะเซ็นเอ็มโอยูกับบริษัทที่มีบุคคลที่ถือหุ้นชัดเจนว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีความพัวพันกับเคสต่างๆ ตามที่เป็นข่าว
ส่วนคนที่สแกนม่านตาไปแล้วจะมีการช่วยเหลืออย่างไรนั้น นายไชยชนก กล่าวว่า ตอนนี้มีอยู่ 2 ส่วน คืออยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเพื่อให้เป็นคดีพิเศษ ส่วนการเก็บข้อมูลที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายพีดีพีเอ ซึ่งมีความผิดแล้ว ทางเราอยู่ในขั้นตอนการให้บอร์ดพิจารณา เพราะไม่ใช่อำนาจของตนในการตัดสินใจ ว่าอัตราการปรับต่อไอดีจะปรับเท่าไร โดยมีเกณฑ์อยู่ที่ 5 แสน-5 ล้านบาท ขึ้นกับความละเอียดของข้อมูลที่ถูกขโมยไป ซึ่งข้อมูลชีวภาพเป็นข้อมูลระดับสูงสุดอยู่แล้ว เท่ากับว่าต่อ 1 ไอดี หรือ 1 ยูสเซอร์ที่ถูกขโมยไป เราสามารถปรับได้เลยสูงสุด 5 ล้านบาท ต่อ 1 ไอดี ปัจจุบันตอนนี้ที่ตรวจสอบได้ตั้งแต่ตอนที่เขาสั่งระงับสแกนไปแล้วมากกว่า 1.2 ล้านไอดี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับ
“ระหว่างนี้พี่น้องประชาชน ถ้ามีใครที่ไม่ทราบว่าตอนที่ไปสแกนม่านตา หนึ่งจะมีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล สองไม่ทราบว่าจะผลตอบแทนที่เป็นรายเดือน ที่ท่านจะต้องได้รับ สามารถมาร้องเรียนได้เลยที่กระทรวงดีอี หน่วยงานพีดีพีซี หรือแจ้งความที่สถานีตำรวจที่ไหนก็ได้ และอยากให้เร่งแจ้งความไว้ด้วย เราจะได้ดำเนินการอย่างเต็มที่” นายไชยชนก กล่าว
นายไชยชนก ยังกล่าวถึงกรณีสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)ยึดทรัพย์เครือข่ายสแกมเมอร์ 1 หมื่นกว่าล้านบาท ในช่วงที่ผ่านมาว่า น่าจะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ที่ทำให้ตนยิ้มออก เพราะเราทำมากันอย่างเต็มที่ ไม่ใช่แค่ตน แต่เป็นหลายหน่วยงานที่ร่วมมือกัน และเหมือนความพยายามเป็นผล อย่างไรก็ตามตรงนี้เป็นแค่เพียงหนึ่งในโดมิโนชิ้นสำคัญในโครงสร้างขบวนการเหล่านี้ที่มันล้มลง พอโดมิโนนี้ล้มลงก็จะต่อยอดไปเรื่องอื่นได้ทันที เหตุผลที่มันสำคัญเป็นพิเศษคือเป็นครั้งแรกที่มีการใช้กฎหมายไทย มีการพิสูจน์ทราบแล้วประกาศว่าบุคคลและเครือข่ายเหล่านี้ผิดจริงในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการปลดล็อกในโครงสร้างอื่นๆ ที่มีการสันนิษฐาน มีการเตรียมงาน เตรียมตัวในการดำเนินการตรวจสอบ สอบสวนให้ไหลลื่นได้
“จริงๆ โดมิโนแรกๆ เลยมันคือตั้งแต่ที่มีการเปลี่ยนการบริหารแล้ว และนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ท่านให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ท่านทั้งแนะนำ ตั้งคณะทำงานและสนับสนุนผู้ปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ ทำให้พวกเรามีเครื่องมือในการดำเนินการ และแนวทางในการปฏิบัติที่ชัดเจน ซึ่งจะเดินต่อไปเรื่อยๆ ให้สุดเท่าที่จะสุดได้ และนายกฯให้นโยบาย ปิดชื่อ ถือพฤติกรรม ดังนั้นเราเดินหน้าเต็มที่แน่นอนอยู่แล้ว รวมทั้งนายกฯ พูดด้วยว่า ถ้าดำเนินการไปแล้วจะเจอชื่ออนุทิน ก็ต้องดำเนินการเต็มที่ จึงอยากให้ทุกคนมั่นใจว่าเราดำเนินการอย่างสุดความสามารถ แล้วทุกอย่างน่าจะมีความคืบหน้าที่เร็วขึ้น หลังจากโดมิโนชิ้นนี้ล้ม” นายไชยชนก กล่าว
Advertisement