วันที่ 16 มิ.ย. 68 ที่มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ถนนพระอาทิตย์ กรุงเทพฯ นาย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการ และเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน แถลงหลังการ ประชุมJBCแก้ปัญหาข้อพิพาท เรื่องเขตแดนไทยกัมพูชาที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อวานนี้ว่า
ตนเองศึกษาค้นคว้าหาข้อมูล ปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชามาเป็นเวลากว่า 14 ปี จึงมีข้อมูลมากพอสมควร ที่จะเชื่อได้ว่าใครอ่านเรื่องพร้ำหรือเสียเปรียบต่อการ ประชุมJBC เมื่อวานนี้
เริ่มจากก่อนเข้าประชุมเวทีใหญ่ มีการประชุมเวทีเล็ก โดยที่ทางฝั่งไทยไม่ได้มีการ แจ้งกับสื่อมวลชนว่าเป็นการประชุมเรื่องอะไร ไม่มีการบันทึกวิดีโอ อาจทำให้กัมพูชา หาประโยชน์จากการประชุมโต๊ะเล็ก สร้างความได้เปรียบ
ข้อสังเกตต่อมา ทางการไทยตั้งนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ เป็นผู้นำJBC ฝ่ายไทย กรณีนี้ขอตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนมีไลน์หลุด แสดงให้เห็นข้อความที่นายประศาสน์ พิมพ์เข้ามาในกลุ่มไลน์ว่ายอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ของกัมพูชา ซึ่งถ้าไทยยอมรับจะทำให้สูญเสียดินแดน ถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง จึงอยากให้รัฐบาลพิจารณาในการหาประธาน JBC ฝ่ายไทยคนใหม่ จึงขอเสนอข้อเรียกร้อง 7 ข้อไปยังรัฐบาลให้พิจารณาดังต่อไปนี้
1.ให้เปิดเผยเอกสารการผลประชุมJBCไทยกับกัมพูชาที่เพิ่งจบไปว่าผลการประชุมหรือข้อตกลงใดๆ มีอะไรบ้าง ไม่ใช่แค่มาแถลงว่าผลการประชุมเสร็จสิ้น เป็นไปด้วยความราบรื่น โดยเฉพาการลงนาม แผนที่1:200,000 ที่กัมพูชาออกแถลงการณ์ทันทีหลังการประชุมเสร็จ ถ้ามีการยอมรับแผนที่ดังกล่าวจริงถือว่าอาจผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญของไทย
2.ด้วยความน่ากังวลของประธาน JBC ฝ่ายไทย อาจจะต้องเปลี่ยน เนื่องจากประธานคนปัจจุบัน คือ นายประศาสน์ มีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อประเทศ รัฐบาลควรต้องเปลี่ยนตัว ซึ่งคนที่จะเข้ามาจะต้องมีไหวพริบและรู้เท่าทันเล่ห์กลของเขมร
3.ให้ยกเลิก MOU2543 ทางบก ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในเวลานี้ และยกเลิก MOU 2544 ทางทะเล เพราะพื้นที่น่านน้ำของประเทศไทยที่มีปัญหาเป็นของไทยมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการตกลงแบ่งเส้นเขตแดนทางทะเลกับฝรั่งเศส ซึ่งการยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับ ต้องนำเข้าสภาผู้แทนราษฎร และประกาศในนามรัฐบาลไทย
4.การยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับ ให้เปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ภาพถ่ายจากดาวเทียม หรือเทคโนโลยีอื่นๆ ที่สามารถระบุพิกัดเขตแดนได้อย่างชัดเจนจะเป็นธรรมกว่า
5.ต้องแถลงประท้วง ไทยยังไม่ประท้วง ไทยต้องประท้วง 4 จุด ที่เขมรนำ 4 พื้นที่ ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ประสาทตาเหมือนโต๊ด และสามเหลี่ยมมรกต ให้ศาลโลกพิจารณา เนื่องจากพื้นที่ทั้ง 4 จุดเป็นของไทย ถ้าไทยไม่ประท้วงหรือแสดงจุดยืนก็จะเหมือนเมื่อครั้งที่เสียประสาทเขาพระวิหาร รัฐบาลไทยต้องประท้วงไม่ใช่กองทัพประท้วง
6.รัฐบาลอย่าแทรกแแซงกองทัพ ปล่อยให้กองทัพแก้ปัญหา แม้คนในรัฐบาลจะมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับอดีตผู้นำประเทศกัมพูชา ต้องทำตามที่กองทัพเสนอ ตัดเนต ตัดไฟ ห้ามคนไปเล่นบ่อน ทำลายระบบสื่อสาร ตัดวงจร ป้องกันการทำลายความมั่นคงของชาติ
7.ข้อนี้สำคัญ ถ้ารัฐบาลยังเกรงใจอริราชศตรู ใส่ร้ายประเทศไทย รัฐบาลยังแทรกแซงกองทัพ ขอให้กองทัพประกาศกฏอัยการศึก
นาย ปานเทพ ยังบอกว่า ตนเองไม่ได้โทษรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี และไม่ได้กล่าวหาพรรคเพื่อไทย เนื่องจากไม่ได้เป็นผู้ลงนาม MOU จัดการลงนาม MOU ฉบับดังกล่าว เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีหม่อมสุขุมพันธ์ บริพัตร เป็นรัฐมนตรีลงนาม แต่สิ่งที่อยากให้รัฐบาลนายกฯอุ๊งอิ๊งค์เร่งออกมาแถลงนั่นก็คือ การไม่ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 และให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ออกมาชี้แจงว่า พื้นที่ที่มีการปะทะบริเวณช่องบกไม่ใช่ No man land แต่เป็นดินแดนของประเทศไทย
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในเดือน ก.ย. ทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมJBC จะพลิกเกม ให้เป็นฝ่ายได้เปรียบการหารือเรื่องเส้นเขตแดนได้หรือไม่ นายปานเทพ บอกว่า แค่ไทยไม่ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 และไม่ขึ้นศาลโลก ก็ถือว่าชัดเจนแล้ว
เมื่อถามว่า สิ่งที่กัมพูชาทำอยู่ในเวลานี้ เป็นการหาเสียงหรือการหวังผลทางการเมืองหรือไม่ เพราะอีกไม่กี่เดือนกัมพูชาจะมีการเลือกตั้งทั่วไป นายปานเทพ บอกว่า กัมพูชาเป็นประเทศที่ 3 ประชาชนยากจน รัฐบาลของอดีตสมเด็จ ฮุน เซน จึงต้องหาประเด็นหรือเรื่องการรักชาติ หรืออนุรักษ์นิยมมาสร้างความชอบธรรม เพื่อหวังผลทางการเมือง สิ่งที่สมเด็จ ฮุน เซนทำเป็นการดึงประชาชนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องให้มาเดือดร้อนตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ขอให้กำลังใจกองทัพ ตนเองไม่ได้ต้องการเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาล แต่อยากให้รัฐบาลยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก
Advertisement