วันนี้ (10 มิ.ย.68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้รายงานต่อนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีว่า การแก้ไขปัญาชายแดน ไทย-กัมพูชา นับตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบางเรื่องไม่สามารถเปิดเผยได้ในทุกขั้นตอนของการเจรจา แต่รัฐบาลได้ยึดประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนและประเทศเป็นหลัก
ทั้งนี้ ผลการดำเนินการของกระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ ในการเจรจาซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการให้พื้นที่ ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี กลับไปอยู่ในสภาพเดิมเหมือนเช่นเมื่อปี 2567 โดยรัฐบาลกัมพูชาได้ดำเนินการตามการเจรจาของรัฐบาลไทยเป็นที่เรียบร้อย โดยได้กลบคืน “คูเลต” (แนวสนามเพลาะ) คืนสู่สภาพเดิมและปรับกำลังกลับไปอยู่ในที่ตั้งเดิม ตามข้อตกลง MOU 43 ทั้งนี้ รัฐบาล พร้อมร่วมประชุม คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา (Joint Boundary Commission – JBC) ในวันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน นี้
นายจิรายุ กล่าวต่อไป ว่าพลเอกณัฐพล ยืนยัน ว่าประเทศไทยยืนยันไม่รับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ( ICJ ) หรือศาลโลก ส่วนการแก้ไขปัญหาชายแดนได้เสนอให้ ไม่มีการปิดด่านถาวร โดยเน้นหลักการ เรื่องความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก โดยได้ลำดับความสำคัญ เช่น การจำกัดคนเข้า-ออก จำกัดเวลาปิด การปิดบางจุด หรือปิดตลอดแนว ตามสถานการณ์ความเหมาะสม โดยมีเป้าหมายสำคัญให้ประชาชนได้รับความปลอดภัย
นายจิรายุ กล่าวต่อไป ว่า นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการต่อว่า ในการจัดทำโครงการต่างๆ และการพิจารณางบประมาณขณะนี้ ซึ่งมีการพิจารณางบประมาณที่สำคัญ ในหลายส่วน ทั้งนี้ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้มีมติรับหลักการวาระ 1 ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ไปแล้ว เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของกรรมาธิการ
ทั้งนี้ ในส่วนของงบกลางปี 2568 สำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการ รวมถึงงบกลางต่าง ๆ ที่แต่ละกระทรวงได้เสนอมา และอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงบประมาณนั้น นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ทุกกระทรวง มีการพิจารณางบประมาณและโครงการที่เสนอของบประมาณด้วยความละเอียดรอบคอบ ตลอดจนผ่านการพิจารณาและกลั่นกรองอย่างถี่ถ้วน จากสำนักงบประมาณและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ว่า "การกระทำด้วยประการใด ๆ ที่ มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้“ ทั้งนี้ เพื่อให้โครงการต่าง ๆ ที่ผ่านการอนุมัติของ ครม. เป็นไปด้วยความรอบคอบ ถูกต้อง และสอดคล้องกับข้อกฎหมาย
Advertisement