กต.แถลงย้ำเจรจาปัญหาชายแดน "ไทย-กัมพูชา"ด้วยกลไกทวิภาคีเท่านั้น หวังปกป้องอธิปไตย-บูรณภาพแห่งดินแดน "นิกรเดช"ยันไม่ต้องใช้ประเทศที่สาม
วันที่ 5 มิ.ย. ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูล อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่าบ่ายวันนี้ตนเองได้ประชุมกับผู้บริหารกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน ซึ่งได้หารือกันเกี่ยวกับการเตรียมการในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาโดยพื้นฐาน และเป้าหมายของการหารือในวันนี้คือปกป้องอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยอย่างเต็มที่ ซึ่งมีความสำคัญสูงสุดสำหรับกระทรวงการต่างประเทศ โดยได้ย้ำเรื่องการแก้ไขความขัดแย้งอย่างสันติวิธี ซึ่งต้องเป็นเป็นไปตามกฎหมายไทย หลักกฏหมายระหว่างประเทศ และควรใช้กลไกทวิภาคีต่าง ๆ ที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา
การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC ฝ่ายไทยมีสมาชิกประกอบด้วยหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องโดยมีกระทรวงการต่างประเทศเป็นเลขาธิการ ซึ่งเป็นกลไกด้านเทคนิคในการหารือสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาล่าสุดฝ่ายกัมพูชาได้กำหนดจะจัดการประชุมนี้ขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ที่กัมพูชา
โดยการหารือในวันนี้ได้พูดคุยถึงการประชุม JBC ของฝ่ายไทยที่สรุปประเด็นได้ ดังนี้
1.เราจะใช้ประโยชน์จากกลไก JBC อย่างเต็มที่ควบคู่ไปกับกลไก GBC และ RBC ซึ่งกลไก JBC ได้ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพในห้วงเวลา 26 ปีที่ผ่านมา และแก้ไขปัญหาสำเร็จแล้วในหลายพื้นที่
2.เราจะใช้กลไกการประชุมกับฝ่ายกัมพูชาด้วยความสุจริตใจ หรือ In good faith
3.หวังว่าการประชุมดังกล่าว จะช่วยลดความตึงเครียดของสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนทั้งชาวไทย และกัมพูชา โดยเฉพาะพี่น้องที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดน ให้ได้อยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข ในฐานะเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน
ทั้งนี้ ยังมีกลไกคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทยกัมพูชาหรือ GBC ระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคหรือ RBC ระดับแม่ทัพภาคซึ่งมีหน้าที่ดูแลสถานการณ์ชายแดนให้สงบเรียบร้อย
นายนิกรเดช ยังได้อ่านแถลงการณ์จากสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นฉบับที่สองที่ออกมาต่อกรณีดังกล่าว
"ผมขอยืนยันว่ารัฐบาลไทยไม่ได้นิ่งนอนใจ และจะ หารืออย่างใกล้ชิดกับฝ่ายกัมพูชาในทุกระดับ เพื่อสานต่อความสัมพันธ์ที่ดี ในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน ในฐานะครอบครัวสมาชิกอาเซียนด้วยกัน โดยเฉพาะในโอกาสที่ไทย และกัมพูชาครบรอบ 75ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปีนี้" นายนิกรเดช กล่าว
นายนิกรเดช ยังฝากถึงสื่อมวลชน ว่าในการรายงานข่าวให้ช่วยกรุณาติดตาม และหลีกเลี่ยงการขยายข่าวที่อาจปลุกระดม หรือกล่าวหาอีกฝ่าย โดยยังไม่มีข้อมูล หรือข้อเท็จจริงที่ชัดเจน เช่น กรณีการพบทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนตามที่เป็นข่าวนั้น ในชั้นนี้เราจำเป็นต้องตรวจสอบเรื่องนี้ก่อนในรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนและขอความร่วมมือพี่น้องอย่าคาดการณ์ไปเอง เพื่อลดการสร้างประเด็นที่อาจเป็นความขัดแย้งเพิ่มเติมได้
นายนิกรเดช ย้ำว่า ขอให้มั่นใจว่าประเด็นทั้งหมดเหล่านี้อยู่ในการติดตามตรวจสอบอย่างละเอียดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน นอกจากนี้ยังมีข่าวจากสื่อมวลชนหลายรายว่ากัมพูชาออกแถลงการณ์ไม่ร่วมJBC กับไทย ซึ่งขอย้ำว่า ไม่เป็นความจริง จึงขอให้ระมัดระวังการนำเสนอข่าว และพาดหัวข่าวที่อาจคลาดเคลื่อนด้วย
จากนั้นเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนสอบถาม โดยนายนิกรเดช ย้ำว่าการประชุม JBC ที่จะเกิดขึ้น ฝ่ายกัมพูชามีความพร้อมเพราะเป็นเจ้าภาพการประชุม ดังนั้น ฝ่ายไทยจะไปประชุมตามคำเชิญ JBC เป็นกลไกเจรจาด้านเทคนิคเรื่องเขตแดน ส่วนจะเป็นจุดไหน เป็นเรื่องของฝ่ายเทคนิคว่าจะเจรจาจุดใดบ้าง ซึ่งฝ่ายไทยหวังว่ากลไกการประชุม JBC จะช่วยลดความตึงเครียดที่เกิดขึ้น
เมื่อถามว่าเมื่อช่วงเช้า ทางการกัมพูชาออกแถลงการณ์จะไม่นำ 4 จุดที่เกิดข้อพิพาท รวมถึงช่องบก เข้าที่ประชุม ในวันประชุมจริงจะมีเนื้อหาอะไรบ้าง นายนิกรเดช กล่าวว่า ไทยในฐานะเพื่อนบ้านกัมพูชา เรามีความมุ่งมั่นแก้ปัญหาโดยสันติวิธี บนพื้นฐานกฎหมายระหว่างประเทศ สนธิสัญญาต่างๆ เช่น MOU 2543
"ไทยพร้อมเจรจาผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ระหว่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง JBC , GBC และ RBC เราไม่ได้ยอมรับอำนาจของศาลโลก ดังนั้น ยังไปไม่ถึงจุดนั้น" นายนิกรเดช กล่าว
ส่วนหัวหน้าคณะในการประชุม JBC นายนิกรเดช กล่าวว่า ผู้แทนฝ่ายไทยนำโดย นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทย ที่มีความรู้ด้านการปักปันเขตแดน
ส่วนการที่ทหารกัมพูชาเข้ามาที่เขตปลอดทหาร นายนิกรเดช ระบุว่า อยู่ระหว่างการใช้กลไก JBC ตรงนั้นเป็นจุดทับซ้อน ซึ่งเราได้กำหนดร่วมกัน ยอมรับว่ามีการล้ำเข้ามาในจุดดังกล่าว ละเมิดข้อตกลง JBC ข้อ 5 การที่กัมพูชาเข้ามาใน No man's land ถือเป็นการละเมิดข้อตกลงก็จริงแต่ยังไม่ใช่การบุก รุกแผ่นดินไทย ซึ่งเราได้ประท้วงในพื้นที่ช่องบก 4 ครั้ง โดยไม่ได้เกี่ยวกับศาลโลก พร้อมย้ำว่าไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกกัมพูชาสามารถทำในสิ่งที่กัมพูชาต้องการได้ แต่ตนต้องขอเรียนว่าการใช้กลไกบุคคลที่สามเข้ามายุติปัญหา ต้องได้รับการยอมรับของทุกฝ่าย ทั้งนี้ MOU 2543 เป็นเอกสารอ้างอิงของฝั่งไทย โดยจะยึดถือเอกสารต่างๆ ภาพถ่ายดาวเทียม หลักฐานอื่นๆ
ส่วนกระแสข่าวที่สื่อกัมพูชานำเสนอว่าทูตอินโดนีเซีย เสนอจะเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย นายนิกรเดช กล่าวว่า ตนยังไม่ได้รับรายงาน แต่คิดว่ายังไม่ถึงจุดนั้น ความหวังของไทย เราจะหาข้อสรุปได้ในกลไกทวิภาคี และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากัมพูชาจะมีเจตนารมย์เช่นเดียวกับเรา ในการหาข้อสรุป ตนไม่คิดว่าเราต้องใช้ประเทศใดมาช่วย
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่ช่องบกนั้น ตนยังไม่ทราบว่าจะมีในที่ประชุมหรือไม่ แต่คงต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งสองฝ่าย คงไม่ใช่ฝ่ายไทยสอบสวนคนเดียว ฝ่ายกัมพูชาจะต้องสอบสวนและเอาข้อมูลมายืนยันกัน
“เราถึงไม่ Mind (ถือสา) เราก็มีหลักฐานของเรา แต่ประเด็นคือก่อนที่จะไปตอบตรงนั้นเราต้องเห็นภาพก่อน ว่าศาลโลกได้รับการยอมรับโดยทั้งสองฝ่ายหรือไม่ และผมก็ย้ำไปหลายรอบแล้ววันนี้ว่าศาลโลกเราไม่ได้รับรอง ดังนั้น ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็น” นายนิกรเดช กล่าว
นายนิกรเดช ย้ำว่า เรากำลังเจรจาด้วยท่าทีที่หวังดีต่อกันหรือไม่ เราก็หวังว่ากัมพูชาจะเจรจาด้วยท่าทีที่สุจริตใจเช่นกันซึ่งหากเป็นแบบนั้น ข้อสรุปย่อมหาได้
Advertisement