วันที่ 31 พ.ค. 68 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท วาระแรก
ภายหลังการอภิปรายของ สส. นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวสรุปในส่วนของคณะรัฐมนตรีว่า เมื่อได้รับฟังการอภิปราย 3-4 วันที่ผ่านมา มีการลงละเอียดในหลายอย่าง ทั้งความห่วงใย ข้อท้วงติง ซึ่งตนก็เห็นด้วยในหลายอย่างว่าภายหลังผ่านการพิจารณาแล้ว จะต้องมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ซึ่งคงต้องดูอย่างละเอียด เนื่องจากงบที่เราอยากใช้ เราอยากให้เกิดผลทางเศรษฐกิจจริงๆ อะไรที่พอจะลด จะเลื่อนได้ ก็เห็นด้วย ที่จะถูกพิจารณาเช่นนั้น
ขณะที่สิ่งที่เรายังคิดว่าเราไม่ยังมั่นใจ อาจจะมีการตั้งงบไว้ก่อน เพราะการที่ตั้งงบไว้จำนวนมาก จะไม่เกิดแรงจูงใจ ให้คนที่ปฏิบัติ หรือผู้รับงบประมาณ ไปดำเนินการให้มีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ดี ตนอยากชี้แจงในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต โดยขอย้อนไปที่งบของปี 68 จำนวน 1.57 แสนล้านบาท และเห็นตัวเลขงบการกระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้าอีก 2.5 หมื่นล้านบาท จึงเชื่อว่า ยอดทั้งหมดนี้ คงจะได้รับการทบทวนอีกครั้งหนึ่ง
งบประมาณก้อนแรก เมื่อตนดูในรายละเอียด ยังอยู่ในขั้นตอนการของงบประมาณที่หน่วยงานเสนอขึ้นมา ซึ่งมีจำนวนมากถึง 3 เท่าของงบที่มีอยู่ จึงต้องดูให้รายละเอียด เพราะเราหวังจะให้เกิดการสร้างงานจริงๆ แม้ระยะเวลาจะสั้น แต่ตนเชื่อว่า คำขอเหล่านั้น ทั้งสภาพัฒน์ฯ และสำนักงบประมาณ ได้มีการดูแล้วล่วงหน้า ว่าโครงการประเภทใด จะเป็นส่วนที่เราใช้ที่กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วนจริงๆ
แต่จากเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป ตนมองว่า ต้องทบทวนงบประมาณ เปลี่ยนการใช้งบประมาณ จากวิธีหนึ่งมาอีกวิธีหนึ่ง น่าจะเป็นสิ่งที่เราจะทำกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนี้
อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่า ทุกท่านที่ได้อภิปรายมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คืออยากเห็นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยการจัดทำงบประมาณปี 69 จะเป็นจุดที่เรานำไปซึ่งการจัดงบประมาณในปีต่อๆ ไป คือทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตให้ได้ และหวังว่า งบประมาณปี 69 และการวางแนวทางงบประมาณปี 70 จะเป็นไปในแนวทางที่สนับสนุนให้เกิดความเชื่อมั่นและการลงทุนภายในประเทศ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งเป็นหัวใจของพวกเราทุกคน
จากนั้นที่ประชุมได้ลงมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ในวาระ1 โดยจำนวนผู้ลงมติ 482 คน ซึ่งมีผู้เห็นด้วย 322 เสียง ไม่เห็นด้วย 158 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง และไม่ลงคะแนน 2 เสียง
Advertisement