วันที่ 29 พ.ค. ที่รัฐสภา นายเชตวัน เตือประโคน สส.ปทุมธานี พรรคประชาชน อภิปรายถึงการจัดงบประมาณของกระทรวงกลาโหมแบบใหม่ เปลี่ยนผ่านทหารสมัครใจ100% ว่ากระทรวงกลาโหมของบประมาณปี2569 ไว้ 204,434 ล้านบาท เพิ่มมา 4,713 ล้านบาท แต่เหมือนทุกปีคือไม่มีรายละเอียด เราต้องแยกประเภทเองว่ามีอะไรบ้างที่น่าจะเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหารบ้าง จากที่คำนวณแล้วทั้งเงินเดือน เงินเพิ่มการครองชีพ เบี้ยเลี้ยง ค่าอาภรณ์ภัณฑ์ต่างๆตกอยู่ที่ราว 14,000 ล้านบาท เป็นเรื่องดีทีกองทัพมีโครงการพลทหารออนไลน์ แต่หากมีผู้สมัครใจเพิ่มด้วยอัตราเร่งแบบปัจจุบันนี้ก็มองไม่เห็นอนาคตเลยว่าจะเปลี่ยนผ่านได้เมื่อไหร่ รัฐบาลต้องแสดงความจริงใจเรื่องนี้ผ่านการจัดงบประมาณด้วย ทำอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเข้ามา ไม่ใช่ให้แต่ละหน่วย แต่ละค่าย ไปคิดทำกันเองตามมีตามเกิด ตามยถากรรม
นายเชตวัน กล่าวต่อว่า ประเทศไทยยังใช้ระบบเกณฑ์ทหาร แบบเมื่อ 135 ปีที่แล้ว ข่าวเสียหายที่เกี่ยวกับการทำร้ายทหารเกณฑ์ส่งผลให้เกิดกระแสเรียกร้องให้ยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร และ 3 เสียที่เกิดขึ้นอยู่ในกองทัพที่เราต้องเลิกให้ได้คือ 1.เสียมูลค่าทางเศรษฐกิจ เหตุจากการที่ดึงประชาชนในวัยทำงานออกจากระบอบการผลิตทางเศรษฐกิจไป
2.เสียเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนที่ควรต้องเคารพ แค่การบังคับคนไปเป็นทหารโดยที่ไม่สมัครใจ ก็เป็นการละเมิดเกินกว่าที่เราต้องยอมรับแล้ว เพนราะประเทศไทยเป็นภาคีตราสารระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ภายใต้สหประชาชาติหลายฉบับ รวมทั้งพันธกรณีที่รัฐภาคีต้องทำคือให้สิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นจริงผ่านการเคารพ ปกป้องคุ้มครอง และส่งเสริมเติมเต็ม นี่คือเหตุผลที่ต้องแก้ไขพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)รับราชการทหาร พ.ศ. 2497 เพราะหลักการและผลการดำเนินการเกี่ยวกับเกณฑ์ทหารที่ผ่านมา ส่งผลทางละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งตามกรอบกฎหมายภายในประเทศ และกติการะหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
นายเชตวัน กล่าวว่า 3.เสียชีวิตในค่าย ไม่ใช่สนามรบ ในฐานะคนที่ผ่านการเกณฑ์ทหารมา หากไม่กลัวว่าจะต้องเสียชีวิตในค่ายใครๆก็พร้อมที่จะสมัครเป็นทหาร “แต่ถ้าต้องตายในค่ายมากกว่าไปตายในสนามรบ รวมถึงไปรับใช้นาย แต่ไม่ได้รับใช้ชาติ ใครอยากไปจะสมัคร” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเคยให้สัมภาษณ์ว่าจริงๆ มีเคสไม่มาก แต่ว่าเป็นข่าวเยอะ พูดออกมาได้ทั้งที่ไม่ควรจะมีใครที่เสียชีวิตในค่ายทหาร
นายเชตวัน กล่าวว่า ดังนั้นตนเสนอบันได 3 ขั้น เปลี่ยนผ่านการเกณฑ์ทหารสู่ระบบสมัครใจ ซึ่งผมมั่นใจว่า ถ้ารัฐบาลเอาไปทำตาม ประเทศไทยของเราจะไม่มีใครต้องไปเป็นทหารโดยไม่สมัครใจ ตั้งแต่ปี 2569 เลย 1.รีดไขมัน ลดกำลังพลลงได้อีก จากทหารธุรการมีความจำเป็นขนาดไหนที่กองทัพจะต้องเอาทหารกองประจำการ ทีมีวุฒิปริญญาตรี, ปวช-ปวส. ไปนั่งทำงานในบก.ร้อยหากกองทัพต้องการคนไปทำงานธุรการจริงๆ ล่าสุดพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนกลาโหม ก็ผ่านสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สามารถเปิดรับบุคคลทั่วไปมาทำหน้าที่นั้นได้ทันที
2.ไขมันทหารรับใช้บ้านนายพล ที่กองทัพบอกว่าไม่มี ต่อให้อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ ล่าสุดเป็นข่าวเป็นว่านายสั่งให้ไปวิ่งแกร็บหาเงิน ซึ่งตรงนี้ล้ำกว่าการไปรับใช้ในบ้าน ตัดหญ้า ซักกางเกงใน ธรรมดาไปเลย ถือเป็นการเอาทหารรับใช้ไป ลงทุนสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกด้วย
3.ทหารถูกปล่อยตัวกลับรอปลด นายรับเงินเดือนแทน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่หลับตาคนละข้าง พลทหารได้กลับบ้านได้อยู่กับลูกเมีย ไปหางานหาการอื่นทำ ส่วนนายได้เงินเดือน หากเกณฑ์คนไปให้นายได้ปล่อย เพื่อกินเงินเดือน หมายความว่าเรามีทหารเกินความจำเป็นสามารถลดได้อีก
4.เทคโนโลยีที่ล้าสมัย เราไม่ได้ต้องการจำนวนคนมากมายเพื่อจะไปรบ แต่เราต้องการคนที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงต้องการยุทโธปกรณ์เทคโนโลยีที่ทันสมัยหรือแม้แต่การรับสมัครคนเข้าเป็นทหารก็สามารถใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยได้
นายเชตวัน กล่าวต่อว่า บันไดขันที่2 เงินเดือน สวัสดิการ และสิทธิมนุษยชนที่ไม่ถูกละเมิด หากประชาชนไม่กลัวว่าต้องตายในค่าย สิทธิมนุษยชนไม่ถูกละเมิด รวมถึงมีสวัสดิการที่ดี คนก็พร้อมที่จะสมัครไปเป็นทหารทั้งสิทธิประโยชน์ที่กองทัพบกใช้จูงใจบุคคลให้เข้าเป็นทหารกองประจำการทั้งสวัสดิการรักษาพยาบาลกรณีอุบัติหรือเจ็บป่วย เงินช่วยเหลือกรณีประสบภัย ค่าตอบแทนพิเศษทุกอย่างดีแล้ว สำหรับเรื่องเงินเดือนตนมองว่าควรอยู่ที่ 15,000 บาท/เดือน จะทำให้ได้ยอดสมัครใจในการเป็นทหารมากขึ้น
ส่วนบันไดขั้นที่3 ระบบทหารอาสา เลิกบังคับเกณฑ์ได้ทันที จะทำให้เราได้คนที่มีประสิทธิภาพเข้ามาอยู่ในกองทัพ เพราะคัดสรรผ่านการสอบข้อเขียน ผ่านการทดสอบร่างกาย ผ่านการสอบสัมภาษณ์ เราจะได้คนที่ตั้งใจมาเป็นทหาร ไม่ใช่ได้คนที่ “ซวย” จับได้ใบแดง โดยมี 2 โมเดลคือทหารอาสาทั้งหมดสามารถเปิดรับทันที50,000นาย ไม่ต้องมีการเกณฑ์ใดๆทั้งสิ้น ปีต่อไปอีก50,000ได้ยอดทหารสะสมตามต้องการ เมื่อถึงปี 2571 ก็ค่อยมารับคนตามที่ขาด และโมเดลทหารอาสาและทหารสมัครใจคือรับทหารอาสา 25,000 และเกณฑ์อีก 25,000 ทั้ง 2 โมเดลนี้ เราสามารถเปลี่ยนผ่านสู่ ระบบเกณฑ์สู่ระบบสมัครใจ โดยที่ไม่มีใครต้องโดน “ใบแดง” ได้ทันทีในปีงบประมาณ 2569 นี้เลย
นายเชตวัน กล่าวว่า ด้วยบันได 3 ขั้น และ 2 โมเดล จะเป็นการลดกำลังพล เพิ่มสวัสดิการ ลดงบประมาณ และเพิ่มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะงบประมาณถ้ารีดดีๆ คำนวนแล้วจะใช้งบน้อยกว่าระบบเกณฑ์ทหารที่ผ่านมาถึงปีละ 4,500 ล้านบาท สำคัญอยู่ที่ว่ารัฐบาลมี เจตจำนงที่จะทำหรือไม่ เพราะ ทหารเกณฑ์ กับ ทหารอาสา ถ้าเพิ่มเงินเดือน สวัสดิการ ความแตกต่างก็จะมีเพียงแค่นิดเดียวเองครับ อยู่ที่ว่ารัฐบาลจะกล้าไปรื้อระบบศักดินา ในกองทัพนี้หรือไม่
Advertisement