จากกรณีการเปิดเผยคลิปเสียงของเหยื่อในคดีวิ่งเต้นคดีความ จากเพจเฟซบุ๊ก ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ซึ่งคลิปเสียงดังกล่าว มีการกล่าวอ้างถึงเรื่อง ทนายคนดังวิ่งเต้นคดี อัยการรับเงิน และล่าสุด ทนายอัจฉริยะได้มีการเปิดเผยเรื่อง ญาติของคนใกล้ชิดทนายดังใช้ปินกราดยิง ทำให้มีเด็ก 8 ขวบเสียชีวิต (อ่าน :
“อัจฉริยะ” ยื่นหลักฐานพิรุธคดียา “เอมี่” – เอาผิดกลุ่มวิ่งเต้นล้มคดียา /
แม่เด็ก 8 ขวบแฉ ทนายดัง ช่วยมือยิงลูกรอดคดี สุดแสบตีซี้อัดเสียงเก็บข้อมูล )
วันที่ 25 ก.ย. 61 “รายการต่างคนต่างคิด” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์อมรินทร์ ทีวี ช่อง 34 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 18.20 น. ได้เชิญนายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา สำนักงานอัยการสูงสุด และนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ มาร่วมพูดคุยในรายการ
โดย
ทนายเดชา กล่าวว่า ตนเองขอยืนอยู่ฝ่ายนายอัจฉริยะ เพราะสิ่งที่นายอัจฉริยะทำน่าจะเป็นประโยชน์กับสังคม เมื่อดูจากหลักฐานก็คิดว่ามีมูล เนื่องจากคลิปเสียงดังกล่าว ไม่มีการตัดต่อ อีกทั้งผู้เสียหายก็ยืนยันด้วยตัวเองแล้ว ส่วนคลิปเรื่องพูดคุยกับอัยการดังกล่าวก็มีตัวตนจริง ซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 รวมถึงมรรยาททนาย เพราะถือเป็นการกระทำชั่วร้าย ทรยศต่อวิชาชีพ ส่วนเรื่องที่สงสัยว่าอาจจะเป็นการเรียกเงินค่าจ้างทนายธรรมดาหรือไม่นั้น เนื้อหาในคลิปไม่ได้ระบุเรื่องการเรียกเงินทำคดี จึงไม่น่าจะเอาเรื่องนี้มาอ้างได้ ซึ่งคลิปเสียงที่ออกมาถึง 2 คลิป ก็ทำให้เรื่องนี้ชัดเจนแล้ว
ด้าน
นายปรเมศวร์ กล่าวว่า ตนไม่ได้ฟังในรายละเอียดของคลิปเสียง แต่ต้องดูว่าคนที่ถูกพาดพิงว่า “วิ่งเต้น” นั้นเป็นการวิ่งเต้นแบบใด เช่น เพื่อล้มคดี เพื่อร้องขอความเป็นธรรม หรือเพื่อทุจริต แต่ทั้งนี้ การวิ่งเต้นแล้วเสียเงินเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ซึ่งทนายสามารถเรียกเงินจากลูกความได้ตามที่ระบุในสัญญาจ้าง อีกทั้งลูกความยังสามารถที่จะพบอัยการเจ้าของสำนวนก็ได้โดยตรง ส่วนในคลิปเสียงที่บอกว่า “คืนเงิน” นั้นหมายถึงมีการจ่ายเงินไปแล้ว แต่ก็จะต้องพิสูจน์ต่อว่ามีการจ่ายคืนจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นอีกประเด็นหนึ่ง
ส่วนเรื่องของกรณีทนายความคนดังไปตีสนิทหลอกถามข้อมูลจากแม่เด็ก 8 ขวบที่ถูกยิง โดยอ้างว่าจะไปบอกให้ลูกความของตัวเองที่เป็นจำเลยในคดียอมรับสารภาพ แต่กลับนำข้อมูลไปใช้เป็นประโยชน์ต่อลูกความตัวเอง
ทนายเดชา กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวนั้นผิดมรรยาททนายความ เนื่องจากเป็นการนำความลับของคู่ความมาช่วยอีกฝ่าย ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำชั่วร้ายและไม่ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ เช่นเดียวกันกับที่
นายปรเมศวร์ กล่าวว่า เป็นการกระทำที่ไม่ควร ซึ่งหากเป็นการถามข้อเท็จจริงนั้นพอทำได้ แต่ถ้าไปสัญญาว่าจะให้อีกฝ่ายรับสารภาพ นั้นถือเป็น “การกลับข้าง” ซึ่งผิดมรรยาททนาย ผู้เสียหายสามารถร้องเรียนได้ แต่มีข้อจำกัดว่าจะต้องร้องภายใน 1 ปี
ส่วนกรณีที่มีการร้องขอให้สอบคดียาเสพติดของนักแสดงสาวรายหนึ่ง ที่นายอัจฉริยะอ้างว่ามีส่วนวิ่งเต้นคดี
ทนายเดชากล่าวว่า เป็นการเปิดเผยข้อบกพร่องของกระบวนการยุติธรรม ตนเองไม่ได้จะก้าวล่วงคำตัดสินของศาล แต่กระบวนการยุติธรรมนั้นต้องเริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ซึ่งจะมีผลต่อคำตัดสินของศาลที่เป็นส่วนปลายน้ำหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับอัยการจะสามารถใช้หลักฐานที่มีมาประกอบการอุทธรณ์ต่อไปได้หรือไม่ เนื่องจากตนได้รับข้อมูลว่ามี “นายดาบ” คนหนึ่งถูกให้ออกจากราชการ ฐานขายใบ 100/2 หรือ ใบลดโทษคดียาเสพติด ซึ่งต้องดูพยานหลักฐานการเบิกความชุดจับกุม ว่ามีการเบิกความขัดกันเองหรือไม่ แต่ขอยืนยันว่าหากเรื่องดังกล่าวเป็นความจริง ทนายคนดังที่ถูกพาดพิงในเรื่องนี้ อาจหมดอนาคต ถูกลบชื่อจากสภาทนายความฯ ติดคุก เพราะเป็นเรื่องร้ายแรง
ขณะที่นายปรเมศวร์อธิบายว่า กรณีใบ 100/2 คือการที่ผู้ต้องหาให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์กับเจ้าพนักงานก็อาจได้ลดโทษหรือความผิด โดยจะต้องเป็นข้อมูลที่เจ้าพนักงานไม่เคยทราบมาก่อน ท้ายที่สุดในคดีนี้ ก็จะต้องดูว่าการสอบสวนละเอียดถึงขั้นไหน เหตุใดจึงส่งสำนวนช้า มีการกลับคำให้การหรือไม่ และการลดโทษของศาลในคดีนี้ เป็นไปตามประโยชน์จากมาตรา 100/2 หรือไม่ และเชื่อว่างานนี้น่าจะต้องมีคนถูกดำเนินคดี