เปิดบทบาทการเป็นผู้ให้ ! เอ๋ นรินทร มอบอาหารกลางคืนให้บุคลากรทางการแพทย์ - อาสากู้ภัย

14 ก.ค. 64

เปิดชีวิตหลากหลายมุมของร็อกเกอร์สาวทรงพลัง เอ๋ นรินทร ที่มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ เผยหลากข้อคิด หลายแง่มุมที่ใครหลายคนไม่เคยรู้ ตั้งแต่ทำหน้าที่เป็นแม่บุญธรรมรับเด็กหลายร้อยชีวิตมาอุปการะเลี้ยงดูด้วยเงินส่วนตัวของตัวเอง และในมุมหวานที่เข้าครัวทำขนม พร้อมทั้งยังเข้าครัวเพื่อช่วยเหลือสังคมทำอาหารกล่องให้บุคลากรทางการแพทย์ ทีมกู้ภัย กับความตั้งใจที่จะขอทำดีที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้จะทำได้

s__73580590

ถาม ทำขนมมากี่ปีแล้ว

เอ๋ นรินทร : น่าจะประมาณเกือบ 20 ปี ได้แล้วค่ะ เราเป็นคนที่ชอบทำขนมมาก เริ่มจากการที่เราอยากเปิดร้านกาแฟ ต้องมีขนม เราก็คิดว่าฉันต้องไปสั่งขนมคนอื่นมาไว้ที่ร้านเหรอ ไม่สิ ฉันต้องทำเอง แต่คือเชื่อว่าตัวเองไม่มีวันทำได้ เพราะว่าตัวเองเป็นคนใจร้อนแล้วมือหนัก คงทำไม่ได้ เลยตัดสินใจจ้างเชฟที่เป็นเพื่อนของเรามาสอนทำที่บ้าน ซึ่งเขาก็สอนเรา 10 สูตรที่เขาบอกเราว่าเราสามารถนำไปปรับเปลี่ยนใส่อะไรได้ และสามารถทำขนมอะไรก็ได้ไปจนวันตายของเราเลย ซึ่งมันก็ทำได้จริงๆ เป็นขนมฝรั่งล้วนนะคะ แต่เราไม่ได้เป็นคนชอบทานขนมฝรั่งนะคะ เราชอบขนมไทย แต่เพราะเราจะเปิดร้านกาแฟเลยต้องทำขนมฝรั่งขึ้นมา สำหรับร้านกาแฟก็เปิดนะคะ แต่สุดท้ายก็ปิดไป เพราะว่าลูกค้าที่มาคือมาหานรินทร จริงๆเขาก็มาทานด้วยนะคะ แต่เพราะเขาตั้งใจมาหาเรามากกว่า แต่พอมาแล้วไม่เจอก็งอล แล้วก็ไม่มาอีกเลย เพราะเราก็ทำงานไม่ได้อยู่ร้านตลอดเวลา

ถาม ซึ่งส่วนในที่ใครๆ เห็นภาพเราเป็นนักร้องร็อคเกอร์ ต้องห้าวตลอดเวลา

เอ๋ นรินทร : ตัวตนจริงๆ ก็เป็นคนห้าว เรารู้สึกว่าเราเป็นคนจริง จริงใจมากๆ และเราก็เป็นคนพูดตรงมาก แต่ลูกบุญธรรมเราเยอะ คนที่กินอยู่ที่บ้านเราที่เราส่งเสีย ส่งเรียนเป็นร้อยคน บางคนก็โด่งดังไปมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง พอเขาโตขึ้น เขาก็ออกจากบ้านไปทีละรุ่น ที่เขามาอยู่กับเรา ฟรีหมดทุกอย่าง แม้แต่บาทเดียวเราก็ไม่เคยเอาจากใคร ทำแบบนี้มาก็ประมาณ 30 กว่าปีแล้ว สิ่งที่เราได้ เรามีความสุขทางใจของเรา เพราะลูกบุญธรรมบางคน เขาเป็นลูกอภิมหาเศรษฐี เขาก็มาบอกเราว่าพ่อเขาว่าแม่เอ๋อยู่ได้ยังไง เพราะสิ่งที่เขาถามเรา ทุกครั้งเราก็จะชี้มาที่หัวใจของเรา เพราะทุกอย่างที่เรารับเขามาเลี้ยงดูเป็นลูกบุญธรรม เราก็ใช้เงินส่วนตัวของเราทั้งหมด แล้วเวลาอยู่ในบ้านเรา จะมีกฎทุกคนที่มาอยู่ในบ้านคือต้องเวียนกันทำงานบ้านและดูแลกันเอง เพราะคุณจะมีชื่อเสียงอย่างเดียวไม่ได้ คุณต้องมีทักษะในการอยู่ร่วมต้องมีมารยาทในการทำงาน เราจะสอนทุกอย่างเลย

ถาม แล้วทุกครั้งที่มีคนสั่งมาดามเอ็น ก็ต้องรอด้วย เพราะว่าไม่ได้สั่งแล้วจะได้เลย ต้องรออารมณ์ของคนทำด้วย

เอ๋ นรินทร : ใช่ค่ะ (หัวเราะ) อย่างวันนี้เราทำเค้กนี้ดีกว่า แล้วเราก็รู้สึกว่ากว่าจะได้หนึ่งก้อนกินเวลาฉันไป 8 ชั่วโมง ก้อนเดียวไม่ขายแล้ว แต่ก็มีคนสั่งเขามาเยอะเลยนะคะ แต่เราก็จะทำตามที่เราทำได้ ที่ไม่หาคนมาช่วยเพราะว่าการทำขนมมันเป็นความสุข เราต้องทำคนเดียว ซึ่งขนมที่เอ๋ทำ จะมีสโกแกนว่า อร่อยลืมตาย By นรินทร แต่ล่าสุดที่ทำออกมาคือเค้กคัพ ไม่มีแป้งและไม่มีน้ำตาล แต่จะมีความหวานนะคะ เพราะเราจะใส่น้ำตาลที่สกัดจากผลไม้ คุณเอาสองซองใส่ลงไปในคัพนี้ ใส่ไข่ลงไป 1 ฟอง แล้วคนให้เข้ากันเข้าไมโครเวฟ 2 นาทีก็ทานได้เลย ตอนนี้มีสองรสค่ะ วนิลา ช็อกโกแลต แต่เงื่อนไขของมัน ถ้าทำแล้วต้องทานเลย เพราะเดี๋ยวมันจะแข็ง ส่วนใครที่อยากทานก็สั่งมาได้ที่ โทร 094-071-7217 หรือแอดไลน์ @madam.m

ถาม อีกด้านหนึ่งที่หลายคนไม่รู้แล้วคิดว่าพี่เอ๋หายไปไหน แต่ทำงานหลากหลายที่ในฐานะผู้บริหารอยู่

เอ๋ นรินทร : ใช่ค่ะ ทำงานเบื้องหลังโทรทัศน์นี่แหละค่ะ อย่างที่เจอกับน้องอั๋นอยู่ JSL ตั้งแต่ที่เราออกอัลบั้ม เราก็เป็นโปรดิวเซอร์รายการมาตลอด จริงๆ อาชีพหลักที่เลี้ยงเรามาคืออาชีพการผลิตรายการโทรทัศน์นะคะ เพราะว่าเป็นนักร้องก็จะได้ยุคหนึ่ง ประมาณหนึ่ง แต่เราไม่เคยหยุดผลิตรายการโทรทัศน์เลย เพิ่งจะมาหยุดได้เกือบสองปีนี้เองค่ะ สิ่งที่เรายังไม่เคยทำแล้วอยากทำคือพิธีกรแบบจริงจังนะคะ แต่จะมีแบบไปเป็นรับเชิญส่วนใหญ่ค่ะ ที่เราออกห่างจากเบื้องหลังวงการบันเทิงเพราะเราไปเป็นผู้บริหารอยู่ที่เลเจนด์สยาม พัทยา มีทีมงานที่เป็นตัวแทนของผู้ใหญ่ท่านหนึ่งก็มาเชิญ บอกว่าอยากให้เราไปทำอีเว้นท์ให้หน่อย เราก็บอกว่าขออนุญาตไปดูสถานที่ก่อน เพราะเราจะไม่รับปากอะไรกับใครเลย ถ้าเรายังไม่ได้เห็นหน้างานที่เราทำ เราต้องเห็นก่อนว่าเราจะสามารถทำได้ไหม เราก็ไปแล้วเจ้าของเขาก็พาเราดูทั้งหมด 164 ไร่ คือสวยงาม เราก็ตอบตกลงว่าเราจะไปทำให้ ตอนแรกเราก็คิดว่าเขาจะให้เราไปทำอีเว้นท์ พอนัดไป เจอเขาเขียนงานทั้งปีเลยว่าให้เราทำอะไรบ้าง เขาก็บอกว่าให้เราเข้าไปเป็นพนักงานประจำที่นั่นเลย เราก็บอกว่าจริงเหรอคะ แต่เงื่อนไขพี่เยอะนะคะ เราก็แจ้งเขาว่าอย่างแรกเลยขอไม่ให้ยุ่งงานในวงการของเรา เพราะถ้าภาพของเรายังอยู่ในวงการบันเทิง คนที่ได้ประโยชน์คือ เขา ซึ่งทางเขาก็สามารถรับเงื่อนไขของเราได้หมดเลย ซึ่งเราเพิ่งเข้าไปทำงานตอนเดือนกุมภาพันธ์ แล้วไม่กี่เดือนโควิดก็มา แต่ตอนนี้จากที่ได้คุยกันคือน่าจะเปิดได้ในวันที่ 9 เดือน 9 เราก็ได้เตรียมงาน เตรียมพร้อมปรับเปลี่ยนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว และการเรียนรู้กัญชง กัญชา ทำเป็นมิวเซียมเลย

ถาม ในช่วงที่โควิดเกิดขึ้นงานในวงการของเราก็ได้รับผลกระทบหนัก

เอ๋ นรินทร : อย่างปีนี้ที่ติดต่อไว้ว่าจะถ่ายสี่เรื่อง จะเริ่มถ่ายคือยังไม่ได้ถ่ายเลย แต่ที่ถ่ายไปแล้วมีออนไปบ้างแล้ว แต่ยังเหลืออีกเรื่องเดียวที่ยังไม่ได้ออน

ถาม ซึ่งต้องบอกเลยว่าหน้าที่และบทบาทของพี่เอ๋มีเยอะมาก และอีกบทบาทคือทำอาหารแจกตอนกลางคืน

เอ๋ นรินทร : เริ่มจากตอนเด็กๆ ทุกคนจะบอกว่าขอทุนอาหารกลางวัน แต่เราคิดว่า ไม่ ฉันจะขอทุนอาหารกลางคืน แล้วทุกคนคิดว่าเราล้อเล่น เพราะครอบครัวเราเป็นนักดนตรีกลางคืน ในที่สุดเราวันนี้ ก็มาเป็นตัวตั้งตัวตีมาในชื่อ เพื่อนไม่ทิ้งกันไลฟ์โปรเจค มันเริ่มจากโควิดครั้งที่หนึ่งที่ทุกคนตกงาน แล้วก็มาเป็นพ่อค้าแม่ขาย เขาก็ขายของไม่เก่ง ซึ่งเราก็ไม่ได้บอกว่าเราขายของเก่งนะ แต่เรารู้สึกว่าเพื่อนเราในเฟสบุ๊คเยอะ เราก็บอกทุกคนว่าใครที่ขายของส่งมาค่ะ เดี๋ยวพี่เอ๋จะไลฟ์ช่วยขายของให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแม้แต่บาทเดียว และพอถึงระลอกที่สามจนถึงวันนี้ มันก็เริ่มมีการห้ามกินในร้าน ต้องซื้อกลับบ้านเท่านั้น เราก็เลยรู้สึกว่า อ้าว แต่อาสากู้ภัยที่เป็นด่านแรกที่เสี่ยงเพื่อช่วยเหลือคน แล้วเราไปเห็นเขาไม่ได้ใส่ชุด PPE แต่เขาใส่ชุดกันฝนแทน เราเลยรู้สึกว่าเราอยากทำอะไรเพื่อพวกเขา เราก็เลยจัดไลฟ์มินิคอนเสิร์ตขึ้นมาแล้วเปิดรับบริจาคเข้าบัญชี ROCK FOR LIFE ให้คนบริจาคเข้ามา เราก็ทำอาหารเพื่อนำไปมอบให้อาสากู้ภัย แพทย์ พยาบาล เพราะว่าสามทุ่ม ห้าทุ่ม เขาหาซื้อไม่ได้อยู่แล้ว แต่ในช่วงนี้เราก็พักโปรเจกต์ไลฟ์ไว้ก่อน เพราะว่าห้ามรวมตัวเกิน 20 คนค่ะ แต่เราก็ไม่ได้หยุดการมอบอาหารกลางคืนนะคะ เราก็ยังคงทำเหมือนเดิม ใช้แค่คนในบ้าน ส่วนเงินก็นำมาจากเงินบริจาคที่เหลืออยู่ค่ะ ซึ่งเราจะทำไปมอบให้อาทิตย์ละ 1 ครั้ง

s__73580598

ถาม ส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามาเป็นผู้ให้ เพราะว่าตัวของพี่เอ๋เคยผ่านการเฉียดตาย มันเกิดอะไรขึ้น

เอ๋ นรินทร : ย้อนกลับไปตอนที่เราอายุได้ประมาณ 30 เกิดไวรัสบีลงตับขั้นโคม่า พอเราไปถึงโรงพยาบาล หมอบอกว่าคุณต้องตายแล้ว แต่เพราะเราไม่รู้เรื่องด้วยว่าเราเป็น ถามว่าอาการออกไหม มีค่ะ ตาเราเหลืองมาก แต่เพราะเราไม่ได้เป็นคนรักสวยรักงาม เราไม่ค่อยได้ส่องกระจกด้วย แต่ที่มีอาการไอตอนกลางคืน เราก็คิดว่าเรานอนน้อย เพราะว่าเราต้องไปทำงานร้องเพลง แต่พอวันหนึ่งที่เราขึ้นคอนเสิร์ตแล้วเราไอตลอดเวลา เราก็รู้สึกว่าเราเป็นอะไร วันนั้นที่ร้องเพลงแรกคือเราจุกที่ท้อง ต้องนั่งร้องเลย พอเสร็จงาน เราก็ไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอบอกเราว่าเราต้องตายแล้ว เพราะว่าค่าเลือดของเราที่ออกมามันไปถึงสองพัน แล้วตับของเราเป็นสีม่วงพร้อมแตก สิ่งที่เราทำได้คือกินแป้ง กินน้ำหวาน น้ำตาลเยอะๆ เป็นแบบนั้นอยู่สามปี เราพูดไม่ได้เลยนะคะช่วงนั้น แต่ไม่ได้ถึงกับนอนติดเตียง เราก็ยังช่วยตัวเองได้ ซึ่งพอรักษาไป คุณหมอก็แจ้งว่าเราหายแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แบบหายขาดและไม่เป็นพาหะส่งไปถึงใครด้วย อันนั้นคือครั้งแรก ครั้งที่สองเราลื่นหกล้ม หัวฟาดพื้นที่บ้าน แล้วก็เข้าโรงพยาบาล รักษาหาย แล้วเราก็รู้สึกว่าไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เราจะได้ลืมตาหรือเปล่า เราปฏิญาณกับตัวเรามาตั้งแต่เด็กๆ นะว่าทุกวันที่เรามีลมหายใจ ฉันไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ พร้อมลุย เป็นผู้หญิงที่พร้อมบวก แต่บอกเลยว่าทุกวินาทีที่ยังมีลมหายใจ จะพยายามทำดีที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้จะทำได้ ถึงแม้เราจะเกิดมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ แต่เพราะเรามีพ่อแม่บุญธรรมที่ประเสริฐ แล้วเราก็รักกันทั้งสองบ้าน แล้วเราก็รู้สึกว่าเราโชคดีเหลือเกินที่เราไม่เกเร สองอาชีพที่เราทำ คนทั้งประเทศต้อนรับเรา เราเลยรู้สึกว่าชีวิตนี้ที่เหลืออยู่ เราสามารถทำอะไรได้เราก็จะทำ และเราก็บอกลูกบุญธรรมเป็นร้อยว่าไม่ต้องตอบแทนอะไรแม่ ทันทีที่หาเงินได้ คนแรกที่ต้องไปตอบแทนคือพ่อแม่ของตัวเอง กลับไปดูครอบครัวของตัวเองก่อน

ถาม และตอนนี้พี่เอ๋ก็กลับมาดูแลตัวเอง

เอ๋ นรินทร : ใช่ค่ะ เพราะว่ากลัวโควิดค่ะ เพราะว่าความอ้วน แล้ววันหนึ่งคุณช้างเขาแชร์โรคที่เสี่ยงกับโควิดมา ซึ่งเราก็มีถึง 6 ใน 8 อย่างเลย ความดัน เบาหวาน เรามีครบเลย ซึ่งคุณหมออยากให้เราหยุดทานแป้งไปเลย ห้ามผลไม้ทุกชนิด นี่ทำมา 3 เดือน น้ำหนักหายไปเจ็ดกิโล แต่ไม่ได้แนะนำว่าให้ทำแบบนี้นะคะ เพราะทุกคนต้องไปหาหมอ เพื่อให้หมอให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพ และส่วนใครทำอยากร่วมบริจาคเพื่อช่วยเหลือในโครงการ ก็สามารถเข้ามาดูได้ในเฟสบุ๊ค Narinthorn Na Bangchang

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวบันเทิง เป็นกระแส