แอสตร้าเซนเนก้า เผยผลวิจัย เว้นเข็มสอง 45 สัปดาห์ ระดับแอนติบอดีพุ่ง 18 เท่า ขณะที่ฉีด 1 เข็มสร้างภูมิ 1 ปี ฉีดกระตุ้นเข็ม 3 ป้องกันโควิดกลายพันธุ์ได้ดีขึ้น
วันที่ 28 มิ.ย.64 ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดฉบับก่อนตีพิมพ์ในวารสาร เดอะ แลนเซต ระบุว่า การฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 1 เข็ม มีผลทำให้ระดับแอนติบอดีในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี
ผลวิจัยอ็อกฟอร์ดชี้ ฉีดวัคซีนผสมโดส แอสตร้าเซนเนก้า + ไฟเซอร์ สร้างภูมิดี
ขณะที่ระยะเวลาการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 เมื่อเว้นนาน 45 สัปดาห์ สามารถกระตุ้นระดับแอนติบอดีได้ถึง 18 เท่า เมื่อมีการอ่านค่าแอนติบอดี เมื่อเวลา 28 วันภายหลังการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 พบว่าระดับแอนติบอดีจากการเว้นระยะระหว่างวัคซีนเข็มแรกและเข็มที่ 2 นาน 45 สัปดาห์ มีสูงกว่าระดับแอนติบอดีจากการเว้นระยะห่าง 12 สัปดาห์ ถึง 4 เท่า แสดงให้เห็นว่าการเว้นระยะห่างระหว่างเข็มที่นานขึ้นไม่ก่อให้เกิดผลเชิงลบ แต่ช่วยกระตุ้นระดับภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้นได้
นอกจากนี้ การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้น ในเวลาอย่างน้อย 6 เดือนหลังการฉีดเข็มที่ 2 ยังช่วยเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันได้อีก 6 เท่า และรักษาระดับการสนองของ ที-เซลล์ (T-cell) เซลล์ภูมิต้านทานซึ่งมีหน้าที่หลักในการหาและกำจัดเซลล์ติดเชื้อหรือเชื้อโรคต่างๆ อีกทั้งยังมีศักยภาพสูงขึ้นในการป้องกันโควิดสายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษท์), สายพันธุ์เบตา (แอฟริกาใต้) และสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย)
ทั้งนี้การฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 2 ซึ่งเว้นระยะห่างขึ้น และเข็มที่ 3 พบการเกิดอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ต่ำกว่าการฉีดวัคซีนเข็มแรก
ศาสตราจารย์ เซอร์ แอนดรูว์ พอลแลนด์ ผู้อำนวยการกลุ่มวัคซีนของออกฟอร์ด (Oxford Vaccine Group) ระบุว่า ผลการศึกษาครั้งนี้ถือเป็นข่าวดีต่อประเทศที่มีบริมาณวัคซีนน้อย ซึ่งอาจประสบปัญหาฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ให้ประชาชนได้ล่าช้า เพราะพบว่าแม้จะเว้นระยะห่างจากเข็มแรกนานกว่า 10 เดือน วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 2 ยังสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ศาสตราจารย์ เซอร์ แอนดรูว์ ระบุด้วยว่า จากหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า วัคซีนสามารถต้านทานสายพันธุ์โควิดที่พบในปัจจุบันได้เป็นเวลานาน จึงอาจไม่จำเป็นต้องมีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้น
ผลวิจัยอ็อกฟอร์ดชี้ ฉีดวัคซีนผสมโดส แอสตร้าเซนเนก้า + ไฟเซอร์ สร้างภูมิดี
ไทยลงนามรับมอบ แอสตร้าเซนเนก้า จากญี่ปุ่น 1,050,000 โดส ระบุห้ามใช้ในทางทหาร
