จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก "เจ๊ม้อย vplus" โพสต์ภาพพร้อมบรรยายข้อความระบุว่า ภรรยาผู้สูญหายได้ยินเสียงปืนจากบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งสามีไปดื่มเหล้าที่บ้านหลังนั้น จึงไปตามถึงบ้าน แต่เจ้าของบ้านในขณะนั้นยังไม่ยอมออกมา สุดท้ายเจ้าของบ้านบอกว่าไม่ทราบว่าสามีไปไหนเพราะขณะนั้นตัวเองหลับอยู่ แต่ภรรยาผู้สูญหายสังเกตเห็นมีรอยเลือดเป็นทาง มีร่องรอยการล้างเลือดตามพื้นถนน มีรอยเลือดติดบนใบหญ้าตามทาง นำไปสู่การออกหมายจับ 8 ผู้ต้องหาแล้วนั้น
วันที่ 26 มิ.ย. 64 พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รองผบช.ก. สั่งการให้ นำกำลังหน่วยปฏิบัติการพิเศษ "หนุมาน กองปราบ" ตำรวจ กก.5.บก.ป. ร่วมกับ ตำรวจภูธร ภ.8, กก.สส.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี และ บก.สส.ภ.8 เข้าตรวจค้นเป้าหมาย 12 จุด ในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.ชุมพร เพื่อติดจับกุมแก๊งอุ้มฆ่านายโกศล เรืองดุก พ่อค้าหอยใน อ.ไชยยา จ.สุราษฏร์ธานี
โดยการจู่โจมเข้าตรวจค้นครั้งนี้ ประกอบด้วย บ้านพัก 4 หลังในพื้นที่ หมู่ 12 ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี บ้านพัก 4 หลัง ใน อ.ไชยา และ 1 หลังใน อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี และบ้านพักอีก 3 หลังใน อ.หลังสวน จ.ชุมพร
จากการตรวจค้น ไม่พบผู้ต้องหาแก๊งนายสุรัตน์ เศวตศิลป์ หัวหน้าแก๊งและลูกน้อง ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ทำการค้นบ้านหนึ่งในเป้าหมาย 12 จุด อาทิ นายดุสิต อายุ 34 ปี ถูกจับในข้อหากระทำความผิดฐาน มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งหมด 4 รายการ
ได้แก่ อาวุธปืนยาวแบบลูกเลื่อน ยี่ห้อ Armscor จำนวน 1 กระบอก, เครื่องกระสุนปืนขนาด .22 พบบรรจุอยู่ในซองแม็กกาซีน จำนวน 7 นัด, เครื่องกระสุนปืนขนาด .22 พบบรรจุอยู่ในรังเพลิง จำนวน 1 นัด, ซองแม็กกาซีน พบบรรจุอยู่ในตัวปืน จำนวน 1 อัน และกล้องช่วยเล็งติดปืนยาว จำนวน 1 อัน
บ้านนายโกสินทร์ หรือ ก็อด อายุ 42 ปี กระทำความผิดฐานมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เครื่องกระสุนปืนขนาด .22 จำนวนรวม 10 นัด เครื่องกระสุนปืนขนาด .356 จำนวน 7 นัด นอกจากนี้ ยังสามารถตรวจยึดอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนเป็นพยานหลักฐานได้จากบ้านหลังอื่น ๆ ในระหว่างการบุกค้นครั้งนี้ได้เพิ่มเติม อาทิ อาวุธปืนเดี่ยวลูกซอง ขนาด 12 จำนวน 1 กระบอก, อาวุธปืนสั้น ขนาด 9 มม. จำนวนรวม 2 กระบอก พร้อมด้วยกระสุนปืนรวม จำนวน 22 นัด
พล.ต.ต.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผู้บังคับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 8 ให้ข้อมูลว่า การบุกค้น 12 จุด มีข้อมูลราชการลับหลุดออกไปถึงบ้านและพิกัดที่จะเข้าดำเนินการตรวจค้น ทำให้ตัวผู้ต้องหาที่เจ้าหน้าที่ได้ติดตามอยู่จำนวน 3 รายไหวตัวหลบหนีไปได้ คือนายแน็ค นายโจ้ นายชัย เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวญาติและคนใกล้ชิดไปดำเนินคดีในข้อหาให้ที่พักพิง และให้การช่วยเหลือผู้ต้องหา ชุดตำรวจยังเฝ้าติดตามต่อเนื่อง
เพราะตอนนี้มีผู้ต้องหา 1 ราย คือ นายโจ้ ในคดียิงอดีตทหารที่อำเภอท่าชนะตาย ถูกเลื่อนการขึ้นศาลชั้นต้น 1 ครั้ง เมื่อวันที่ 9 พ.ค. เพราะด้วยสถานการณ์โควิด-19 และมีการนัดหมายใหม่ 15 มิ.ย. ที่ผ่านมา และตอนนี้อยู่ในช่วงเวลา 45 วัน หากนายโจ้ไม่ไปพบศาลจะถูกยึดทรัพย์ประกันตัวที่ดิน 2 แปลง แปลงละ 5 แสนบาททันที และในทางการข่าว ชุดติดตามตัวนายโจ้ พบหน้าหลบหนีอยู่ในป่า กำลังมีความเครียด และคิดสั้นจะยิงตัวตาย เนื่องจากมีความกดดันทั้งการไล่ล่าและเรื่องคดีในชั้นศาล
นายจำนงค์ อินทจักร์ หรือ บ่าวเล็ก พี่ชายของเสี่ยโกศล เปิดเผยว่า ส่วนตัวรู้สึกดีใจที่เจ้าหน้าที่ยังคงทำงาน และไม่ทอดทิ้งคดี แม้ว่าคดีจะผ่านไปช่วงระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังทำให้ครอบครัวเห็นว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ทอดทิ้ง ยังทำงานเพื่อติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดี
ส่วนเรื่องของการค้นหาทุกวันนี้ยังต้องมีการยุติชั่วคราว เพราะที่ผ่านมามีการค้นหาที่ไม่มีความชัดเจน ค้นหาก็มีแต่เสียค่าใช้จ่าย แต่สุดท้ายก็ยังไม่เจอเบาะแส อีกทั้งกรณีดาวทะเลหรือกล่องดำ ที่ตำรวจอ้างว่าเป็นกล่องดำของเรือลำที่ใช้ก่อเหตุ ทุกวันนี้สิ่งที่ได้ก็คือตัวเลขเดิม หมายเลขเดิม พิกัดเดิม มีการค้นหาในพิกัดดังกล่าวแล้ว แต่ก็คือรอบหมู่เกาะอ่างทอง ไม่ได้เป็นไปตามที่เจ้าหน้าที่บอกว่าอยู่ห่างจากริมฝั่ง 20 ไมล์ทะเล ฉะนั้นถ้าหากยังออกค้นหาที่ยังไม่มีความชัดเจน ก็ไม่สามารถที่จะเจอเบาะแสหรือร่างของเสี่ยโกศลได้อย่างแน่นอน
ในวันนี้ครอบครัวก็ยังหวังพึ่งการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะการจับกุมผู้ต้องหา 8 คน ที่มีการออกหมายจับไปก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะจับได้ 1 หรือ 2 คน ก็สามารถที่จะชี้เบาะแสการทิ้งศพในทะเลได้ อย่างน้อยครอบครัวก็สามารถไปยังพิกัดดังกล่าวเพื่อนำร่างขึ้นมาจากน้ำ และประกอบพิธีทางศาสนา
ทั้งนี้ กรณีที่มีกระแสข่าวว่านายโจ้ หนึ่งในผู้ต้องหา มีคดียิงอดีตทหารเสียชีวิตในอำเภอท่าชนะ และผิดนัดต่อศาล โดยเจ้าหน้าที่ให้เวลา 45 วัน ในการเข้ารายงานตัวต่อศาล ประกอบกับถูกชุดจับกุมคดีเสี่ยโกศลไล่ล่าทำให้เกิดความกดดัน และเตรียมจะยิงตัวตาย นั้น ก็คงเป็นเรื่องของเวรกรรมตามที่นายโจ้ได้ก่อเอาไว้ แต่หากเป็นไปได้การมอบตัวน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า
ทีมข่าวยังได้เดินทางไปที่บ้านของนางยุวดี เศวตศิลป์ กำนันตำบลพุมเรียง พี่สาวของนายสุรัตน์ เศวตศิลป์ ผู้ต้องหาบงการจ้างวานฆ่าเสี่ยโกศล เป็นบ้านที่กองปราบปรามสนธิกำลังร่วมกับตำรวจภูธรภาค 8 เข้าตรวจค้นบ้านหลังรับรายงานว่า มีการให้ที่พักพิงและให้การช่วยเหลือผู้ต้องหา หลังจากกองปราบได้มีการตรวจค้นเรียบร้อยแล้วพบว่าบ้านหลังดังกล่าวปิดเงียบ แม้ว่าด้านในจะมีคนอาศัยอยู่แต่ก็ไม่มีใครออกมาให้ข้อมูล ส่วนตัวของนางยุวดี กำนันตำบลพุมเรียง ได้ถูกเชิญตัวไปให้ปากคำเพิ่มเติมที่กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ทีมข่าวได้ข้อมูลจากคนที่อาศัยอยู่ในบ้านของกำนันยุวดี ลูกสาวกำนันให้ข้อมูลทางโทรศัพท์ว่า แม้จะเป็นคนในครอบครัวของเศวตศิลป์ แต่หลังเกิดเรื่องก็ไม่ได้ติดต่อกับใคร เชื่อว่าการเข้ามาตรวจค้นของเจ้าหน้าที่วันนี้ก็เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เพราะเป็นเครือญาติ แต่ก็ไม่ได้ให้การช่วยเหลือใครตามที่ถูกกล่าวหา และยังคงยืนยันว่ายังติดต่อใครไม่ได้
นางจินดาหรา วสินทรัพย์ หรือ เกว ภรรยาของเสี่ยโกศล เปิดเผยว่า ตนเองดีใจที่ตำรวจกองปราบฯ และเจ้าหน้าที่ตำรวจภาค 8 ลงพื้นที่ตรงจค้นบ้านญาติ และคนใกล้ชิดของนายสุรัตน์ แต่แม้ว่าจะจับผู้ต้องหา 8 คนไม่ได้ อย่างน้อยการที่คุมตัวญาติ คนใกล้ชิดที่ให้การข่วยเหลือให้ที่พักพิงก็ถือว่าเป็นการดำเนินการที่ให้คดีมีความคืบหน้า
นางจินดาหรา บอกว่า คนเองอยากให้ชาวบ้าน ประชาชนพื้นที่ช่วยแจ้งเบาะแสให้กับเจ้าหน้าที่ อย่ามัวแต่กลัว ไม่เช่นนั้นกลุ่มคนร้ายก็ยังจะมีอิทธิพลในพื้นที่ต่อไป ใครก็จะทำอะไรพวกเขาไม่ได้ ไม่ใช่แค่ครอบครัวตนเองไม่ปลอดภัย ชาวบ้านก็จะเกิดความไม่ปลอดภัยไปด้วย "วันนี้ตัวเกวเสียพี่ตุ้มไปแล้ว เกวเอาพี่ตุ้มคืนมาไม่ได้ แต่หนูอยากเรียกร้องให้ชาวบ้านออกมาช่วยเป็นกระบอกเสียง อย่างน้อยพวกเขาจะได้สำนึกในสิ่งที่เขาเคยกระทำมา เขามีคดีเยอะ อยากให้ตำรวจจับกุมได้โดยเร็ว และที่สำคัญก็เพื่อความปลอดภัยของคนในพื้นที่ด้วย เกวไม่ได้รู้สึกปลอดภัย ต้องหลบ ๆ ช่อน ๆ ผู้ต้องหายังจับใครไม่ได้สักคน"
อย่างไรก็ตาม ตนไม่มีอะไรฝากถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะเชื่อว่าตำรวจทำงานเต็มที่แล้ว ขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่กลับมาทำคดีให้มีความคืบหน้า ตนเองไม่มีคำพูดใดมากไปกว่าคำว่าขอบคุณ และยังคงหวังพึ่งการทำงานของเจ้าหน้าที่ให้จับคนร้ายได้โดยเร็ว
