จากกรณีมีเหตุคนร้ายไล่ยิงวัยรุ่น 2 คน ทราบชื่อนายอภิวัฒน์ อายุ 15 ปี และนายศิวพัฒ อายุ 16 ปี ระหว่างขับขี่รถจักรยานยนต์ จนกระทั่งถูกยิงหลายนัด ได้รับบาดเจ็บ จากนั้นขับรถไปชนกับเก๋งอีกคันบนถนน ก่อนคนร้ายจะหลบหนีไป เหตุเกิดหน้าหมู่บ้านพฤกษา 92 ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี
นายวิสุทธิ์ วาสนา พี่ชายของนายศิวพัฒ คนเจ็บ เปิดเผยว่า ตอนนี้น้องชายตนอยู่ในห้องผ่าตัด รพ.ปทุมธานี โดยเพิ่งได้ผ่าตัดไม่กี่นาทีก่อนให้สัมภาษณ์ ตอนนี้ครอบครัวเฝ้าอยู่แต่ยังไม่ได้เข้าเยี่ยมตั้งแต่เกิดเรื่อง เนื่องจากหมอยังไม่ให้เข้าเยี่ยม
โดยการผ่าตัดเป็นการผ่าเพื่อเอากระสุนออก ก่อนเกิดเหตุ น้องชายบอกกับที่บ้านว่าจะออกไปซื้อของกินที่ตลาดเท่านั้น ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่อง ส่วนตัวไม่เข้าข้างน้องชาย แต่ตนยังไม่ทราบรายละเอียดว่าน้องชายไปเอามีดชี้หน้าคู่กรณีจริงหรือไม่ น้องชายไม่ใช่คนเกเร ไม่ใช่คนหาเรื่องคน
ทั้งนี้ ตนมองว่าปัญหาแค่มองหน้าไม่จำเป็นต้องไล่ยิงขนาดนี้ คิดว่าน่าจะคุยกันได้ ทำแบบนี้เหมือนหวังเอาชีวิตให้ตาย แฟนตนได้คุยกับนายอภิวัฒน์ เพื่อนน้องชาย ระบุว่าคนร้ายนอกจากยิงแล้ว ยังเอามีดลงมาฟันซ้ำหลายครั้งด้วย ทั้งนี้ ตนขอเอาเรื่องทางคดีให้ถึงที่สุด เพราะคู่กรณีทำรุนแรงเกินไป
เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือคนเจ็บเมื่อคืนที่ผ่านมา เปิดเผยว่า คนเจ็บเล่าให้ฟังว่าก่อนเกิดเหตุขับรถจักรยานยนต์มากัน 2 คน ไปแถวลำลูกกาคลอง 2 ก่อนจะขับรถกลับออกมา และมาเจอกับคนร้ายเป็นชาย 2 คนขับรถจักรยานยนต์
จากนั้นมีเหตุมองหน้ากันจนมีปากเสียง ซึ่งคนเจ็บอ้างว่ามีการยกมือไหว้ขอโทษแล้ว แต่คนร้ายมีการขับขี่ตามมาเพื่อจะขอให้จอดรถ แต่คนเจ็บกลัว จึงไม่กล้าจอด คนร้ายขับรถใช้อาวุธปืนไล่ยิง เมื่อคนเจ็บขับรถทะลุมาที่คลอง 3 จุดเกิดเหตุเป็นทางโค้ง พบกับรถยนต์อีกคัน ก่อนชนประสานงา คนร้ายก็ยังไล่ตามมาเพื่อจะใช้มีดฟันเข้าที่แขน 1 ครั้ง แต่โชคดีที่ฟันไม่เข้า จากนั้นคนขับเก๋งที่ถูกชนลงมาจากรถ คนร้ายจึงหลบหนีไป
ที่ สภ.คูคต ผู้ต้องหาถูกคุมขับอยู่ในห้องขัง มีญาติเดินทางมาเยี่ยม กลุ่มเพื่อนของผู้ต้องหาทั้ง 2 คนซึ่งมารอเยี่ยม เปิดเผยว่า ตนเองรู้จักในฐานะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ผู้ก่อเหตุเป็นรุ่นพี่พวกตน เท่าที่รู้จักทั้งคู่เป็นคนนิสัยดี หากมีปัญหาอะไรก็จะช่วยเหลือเพื่อน แต่ทั้งคู่ไม่ใช่คนชอบหาเรื่องคน หากไม่ถูกกระทำก่อนก็จะไม่ลงมือกับใคร
ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นตนเองไม่ทราบรายละเอียด รู้จากญาติของผู้ต้องหาเมื่อคืนว่าถูกจับ เท่าที่ทราบคือผู้ก่อเหตุก็กลับไปที่บ้าน จากนั้นไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าไปจับกุม ยอมรับว่าตกใจหลังเกิดเรื่อง พวกตนได้มาเยี่ยมแล้วช่วงเช้า ทั้งคู่ก็นิ่งเงียบ ตนไม่ได้สอบถามอะไร เพราะเห็นสภาพจิตใจแล้วก็ไม่กล้าถาม
นางส้ม (นามสมมติ) แม่ของนายอัครพล หรือ โอ๊ค เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า ตนเองไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อคืนที่ผ่านมา ลูกชายได้ชวนนายศุภกิจ หรือ เฟียร์ มาอยู่ที่บ้าน ตนออกไปซื้อของกิน ขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้านไปช่วง 19.00 น. ไม่นานลูกชายก็กลับเข้ามาที่บ้าน นำรถจักรยานยนต์มาจอดในบ้าน ตนก็คิดว่าลูกชายคงไม่ออกไปไหนแล้ว ตอนนั้นคนในบ้านขึ้นนอนแล้ว ส่วนตนกำลังเตรียมตัวจะอาบน้ำ ลักษณะใส่นุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว ลูกชายวิ่งขึ้นมาจากชั้น 1 สวนตนเองไป ตนสอบถามลูกว่าเกิดอะไรขึ้น ลูกชายไม่ตอบ ตนเองลงมาที่ชั้น 1 พบมีเจ้าหน้าที่แสดงตัวเข้ามาที่บ้าน และขึ้นไปคุมตัวลูกชายตน ตอนนั้นตนเองก็ตกใจ แต่ไม่กล้าถาม เห็นตำรวจมีการสอบปากคำลูกชาย บอกว่าไปยิงคนมา
ตนสอบถามลูกชายว่ายิงจริงหรือไม่ ลูกชายบอกว่า "จริงแม่" แต่ลูกไม่ตอบว่ายิงทำไม ก่อนถูกคุมตัวไป ส่วนตัวมาคุยกับลูกชายหลังมาเยี่ยม ลูกชายบอกว่าไปก่อเหตุยิงจริง ช่วงที่ไปซื้อน้ำกับเพื่อนเห็นคู่กรณียืนอยู่อีกฝั่ง และมีการมองหน้า ก่อนใช้อาวุธมีดชี้มาที่หน้าลูกชาย จากนั้นนายอัครพลจึงเปิดอาวุธปืนโชว์ ก่อนจะเข้าไปหาคู่กรณีเพื่อสอบถาม แต่คู่กรณีน่าจะตกใจและขับรถหนี ลูกชายจึงขับรถตาม นายศุภกิจเป็นคนขับ ลูกชายซ้อนท้าย ระหว่างทางพยายามขับรถไล่ตาม จนกระทั่งไปถึงที่เกิดเหตุ ยิงปืนไป 1 นัด แต่กระสุนเป็นลูกปลายจึงแตกออกมา ตอนนี้ลูกชายก็สำนึกผิด และยอมรับผิดทุกอย่าง ส่วนอาวุธปืน ลูกชายรับสารภาพว่าเอาไปซ่อนไว้ข้างบ้าน แต่ตนไม่ทราบลูกชายแอบมีปืนได้อย่างไร
นางส้ม กล่าวทั้งน้ำตาไหลว่า ตนเองไม่ได้มีเงิน เมื่อปีที่แล้วลูกชายขับรถไปเกิดอุบัติเหตุ ตนต้องชนใช้ค่าเสียหายหลายหมื่น ต้องไปกู้เงินมาชดใช้ให้ ตอนนี้ยังเป็นหนี้อยู่ ครั้งนี้ตนเองไปบอกลูกชายว่าตนเองไม่มีเงินจะประกันลูกชาย ลูกชายก็บอกว่า "แม่เตือนหลายครั้งแล้ว แต่ลูกไม่เชื่อถึงมาเกิดเรื่อง" อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ตนคงไม่ประกันตัว เพราะไม่มีเงินจริง ตนเองอยากบอกไปถึงครอบครัวผู้บาดเจ็บ ตนเองเสียใจและขอโทษที่ลูกไปก่อเหตุแบบนี้ ตนเข้าใจในหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ ปกติลูกชายเป็นคนไม่เล่า ไม่บอกอะไร ตนจะเตือนตลอด สอนตลอดว่าอย่าหาเรื่องให้ครอบครัวเดือดร้อน ตอนนี้ยังไม่ไปเยี่ยมคนเจ็บ เพราะมัวแต่เดินเรื่องคดีลูกชาย และตนก็ไม่มีเงิน ไม่รู้จะต้องทำอย่างไร
