จากกรณีเมื่อคืนวันที่ 16 มี.ค. 64 เวลาประมาณ 20.00 น. ร.ต.อ.อัศวิน หงส์โยธี ร้อยเวร สภ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ ได้รับแจ้งเหตุเด็กชายทองนพเก้า สีทา หรือ น้องปอน อายุ 15 ปี นักเรียนชั้น ม.3 โรงเรียนบ้านนาค้อ หายตัวไประหว่างทำกิจกรรมเข้าค่ายลูกเสือ คาดว่าน่าจะจมน้ำบริเวณหนองน้ำหลังวัดบ้านนาค้อ ต.กุดโดน อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งมีความลึกประมาณ 3 เมตร พร้อมนำชุดค้นหาใต้น้ำกู้ภัยร่วมใจกาฬสินธุ์การกุศล และกู้ภัยร่วมใจจุด อ.ห้วยเม็ก ลงพื้นที่เกิดเหตุ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ม.3 ฝึกลูกเสือจมบ่อดับสลด แม่ฉะครูสะเพร่าจี้ลาออก รร.เผยเด็กหายทำนับพลาด
วันที่ 18 มี.ค. 64 เวลา 10.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ห้วยเม็ก พร้อมเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน เดินทางมายังบ่อน้ำที่เกิดเหตุ จุดตั้งฐานผจญภัย จากการทดสอบความลึกของระดับน้ำ เจ้าหน้าที่กู้ภัยร่วมใจกาฬสินธุ์จุดห้วยเม็ก เข้ามาชี้จุดพบศพและวัดระดับน้ำ วัดความลึกของระดับน้ำได้ดังนี้
-ห่างจากขอบบ่อ 1 เมตร วัดความลึกของระดับน้ำได้ 30 เซนติเมตร
-ห่างจากขอบบ่อ 2 เมตร วัดความลึกของระดับน้ำได้ 56 เซนติเมตร
-ห่างจากขอบบ่อ 3 เมตร วัดความลึกของระดับน้ำได้ 80 เซนติเมตร
-ห่างจากขอบบ่อ 4 เมตร วัดความลึกของระดับน้ำได้ 105 เซนติเมตร
-ห่างจากขอบบ่อ 5 เมตร วัดความลึกของระดับน้ำได้ 130 เซนติเมตร
-ห่างจากขอบบ่อ 6 เมตร วัดความลึกของระดับน้ำได้ 158 เซนติเมตร
-ห่างจากขอบบ่อ 7 เมตร วัดความลึกของระดับน้ำได้ 180 เซนติเมตร
โดยจุดพบศพผู้ตาย ห่างจากขอบบ่อ 9 เมตร วัดความลึกของระดับน้ำได้ 3 เมตร
นายสิทธิศักดิ์ ภูทองบิน อายุ 26 ปี หัวหน้าชุดอุปกรณ์กู้ภัยร่วมใจกาฬสินธุ์ ผู้พบศพ บอกว่า ขณะวัดความลึกของน้ำ ตนเทียบจะยืนไม่ถึงก้นบ่อ โดยในจุดที่พบศพผู้ตาย แม้ตนจะเอาเท้าแตะพื้นแล้วชูมือขึ้น มือก็ยังไม่พ้นขอบน้ำ เมื่อวันที่ 16 มี.ค. เวลาประมาณ 19.30 น. ตนได้รับแจ้งเหตุเด็กหายออกจากบ้าน คาดว่าน่าจะจมน้ำ ตนได้ลงพื้นที่ตรวจสอบพบผ้าพันคอสีชมพูและถุงเท้าวางอยู่ข้างบ่อ แต่ทราบภายหลังว่าไม่ใช่ของผู้ตาย และพบรองเท้าแตะของผู้ตายถอดวางไวใต้ต้นไม้
โดยเจ้าหน้าที่กู้ภัยเริ่มค้นหาผู้ตายตั้งแต่เวลา 20.00 น. จนพบผู้ตายในเวลาประมาณ 23.30 น. นอนคว่ำจมอยู่ก้นบ่อในลักษณะกำมือ 2 ข้าง ระดับอก ขาเหยียดตรง ห่างจากขอบบ่อทางซ้าย 20 เมตร และห่างจากขอบบ่อทางเดินลงบ่อ 9 เมตร ซึ่งท่าศพลักษณะนี้บ่งบอกว่าผู้ตายได้พยายามตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด ทั้งนี้ ตนมีความคิดเห็นว่าหากจะจัดกิจกรรมหรืออนุญาตให้ชาวบ้านลงเล่นน้ำ บ่อน้ำก็ควรจะต้องติดอุปกรณ์ช่วยชีวิตเบื้องต้น รวมถึงป้ายและธงแจ้งเตือนต่าง ๆ
วันนี้ผู้อำนวยการโรงเรียนและคณะครูก็ได้เดินทางมาให้ข้อมูลเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน นายสุนทรา กุลาสา อายุ 59 ปี ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านนาค้อวิทยาคม บอกว่า ขณะนี้คณะครูค่อนข้างสะเทือนใจและบีบหัวใจเป็นอย่างมาก แต่คงเทียบไม่ได้กับความรู้สึกสูญเสียของผู้ปกครอง ในฐานะที่ตนเป็นครู ตนและคณะครูก็ต้องตั้งสติ และดูแลนักเรียนแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นต่อไป ตนเข้าใจในความโกธรของผู้ปกครองที่สูญเสีย และไม่ยินดีรับคำขอโทษ ตนเข้าใจที่ผู้ปกครองไม่อยากให้ตนและคณะครูสอนในโรงเรียนแห่งนี้ต่อ หากตนเป็นฝ่ายสูญเสีย ตนก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
ทั้งนี้ ระดับน้ำของบ่อ คณะครูและเด็กนักเรียนบางส่วนได้ทำการตรวจสอบสถานที่แล้ว ก่อนที่จะจัดกิจกรรมฐานผจญภัย จึงคิดว่าบ่อน้ำน่าจะปลอดภัยแล้ว อีกทั้งฐานผจญภัยยังถูกจัดขึ้นในทุกปี แต่ไม่เคยเกิดเหตุสลดเช่นนี้ ขณะนี้หน่วยงานต้นสังกัดได้ดำเนินการสอบสวนคณะครูแล้ว ทั้งหมด 13 คน ครูประจำฐาน 6 ฐาน ฐานละ 2 คน และผู้อำนวยการ สำหรับหลักฐานลูกเสือ ตนยังยืนยันว่าเป็นหลักสูตรที่ได้รับการรองรับ แต่ทางโรงเรียนได้นำมาประยุกต์ปรับใช้ ซึ่งในอนาคตตนอาจจะต้องยกเลิกกิจกรรมฐานเล่นน้ำแบบนี้ เพื่อป้องกันเหตุสลด
ครูก๊อต ครูประจำฐานหนีสงคราม บอกว่า ตนไม่ถือโทษหากผู้ปกครองจะโกธรตน เพราะตนเข้าใจในความสูญเสีย ยืนยันว่าตนไม่ได้บอกให้เด็กลงไปในน้ำลึก อีกทั้งครูประจำฐานยังมีด้วยกันฐานละ 2 คน ยังมีนักเรียนที่ไม่ได้ลงเล่นน้ำ ที่คอยสอดส่องความปลอดภัยให้กับนักเรียนที่ลงไปร่วมกิจกรรมในน้ำ
ทีมข่าวสอบถามว่า "ครูได้มีการตรวจสอบบ่อน้ำหรือไม่ และทราบหรือไม่ว่ายิ่งเดินลงไปในน้ำ ระดับน้ำจะยิ่งลึก" ครูก๊อตตอบว่า "ครูไม่เคยบอกให้เด็กเดินไปในน้ำลึก ครูบอกให้เด็กเดินเรียบขอบบ่อขอบตลิ่ง" ทั้งนี้ เด็กไม่น่าจะมุดหรือลอยน้ำไปไกล เพราะครูบอกให้เด็กจับกลุ่มกันแล้วอย่าลงไปในน้ำลึก ใครที่ว่ายน้ำไม่เป็น ครูได้บอกแล้วว่าให้นั่งรอ ตนยอมรับว่าไม่ได้นับจำนวนเด็ก แต่ตนไม่เห็นเด็กจมน้ำขณะร่วมฐานกิจกรรม สำหรับงานศพทางโรงเรียนได้ไปร่วมงานศพทุกคืน จะไปร่วมพิธีฌาปนกิจ แล้วพูดคุยเยียวยากันต่อไป
ทีมข่าวได้ภาพสุดท้ายของผู้ตายขณะที่อยู่ฐานที่ 4 บัวตูมบัวบาน ก่อนกเข้าร่วมฐานที่ 5 หนีสงคราม หลังจากหมู่ลูกเสือของผู้ตายเข้าร่วมฐานที่ 5 หนีสงคราม ครูก็ได้ประกาศจบกิจกรรมฐานผจญภัย และอนุญาตให้เด็กล้างตัวในบ่อน้ำ เพื่อขึ้นมาทำพิธีปิดกิจกรรมลูกเสือ
ที่บ้านของผู้ตาย สถานที่สวดพระอภิธรรมศพผู้ตาย นางบัวลื่น สีทา อายุ 48 ปี แม่ผู้ตาย ยังคงอยู่ในอาการโศกเศร้าเสียใจ เปิดเผยว่า ปกติแล้วลูกชายเป็นคนติดแม่ ไปโรงเรียนแล้วก็จะรีบกลับบ้าน ช่วงพักกลางวันก็จะกลับมากินข้าวที่บ้าน โรงเรียนห้างบ้าน 350 เมตร มากอดและหอมแม่ทุกวัน ทุกวันลูกชายจะกลับมาถึงบ้านหลังเลิกเรียนในเวลา 16.00 น. จากนั้นก็จะนอนเล่นและกินข้าวกับแม่ที่ชั้นล่างของบ้าน ก่อนที่แม่จะขึ้นไปนอนชั้นบนในเวลา 20.00 น. ลูกชายจะนอนเล่นมือถือแล้วตามขึ้นมานอนกอดแม่ในเวลาเที่ยงคืน
นอกจากนั้น นางบัวลื่นก็ได้ชี้ไปที่กำแพงบริเวณชั้นล่างของบ้าน พบเป็นภาพวาดดินสอ 3 แผ่น ได้แก่ ลูฟี่ วันพีช, นักรบซามูไร และยอดนักสืบจิ๋วโคนัน ภาพเหล่านี้ ลูกชายได้วาดไว้ขณะนอนเล่นกับแม่ที่บ้าน แม่จะนำภาพเหล่านี้ไปใส่กรอบ เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกถึงลูกชาย แม้เวลาจะผ่านไป แต่จิตใจตนไม่ได้ดีขึ้น ตนกับลูกรักและสนิทกันมาก ทุกวันตนจะใช้ชีวิตอยู่กับลูกชาย นอนฟูกเดียวกัน ยอมรับว่าตั้งแต่เกิดเหตุ ตนนอนไม่หลับเลยสักคืน แต่ทั้งนี้ลูกชายยังไม่ได้มาเข้าฝันตน รวมถึงคนในครอบครัวและเพื่อน ๆ ตนจึงไม่ทราบว่าลูกชายของตนรู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเองเสียชีวิตแล้ว
การสูญเสียนี้เกินกว่าที่ตนจะบรรยายออกมาได้ ตนโกรธครูทุกคนที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมลูกเสือที่ไม่ดูแลลูกชายของตน ตนยังขอยืนยันคำเดิมว่า ตนจะไม่รับเงินเยียวยาทางคดี แต่จะให้ครูทุกคนต้องออกจากโรงเรียนและติดคุก เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เทียบไม่ได้กับชีวิตของลูกชายตน ส่วนเงิน 50,000 บาท ที่ผู้อำนวยการโรงเรียนให้มาเพื่อจัดงานศพ ตนจะรับไว้แค่เงินก้อนดังกล่าว
ตนเสียดายอนาคตของลูกชาย ลูกชายของตนบอกว่าเมื่อเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จะไม่ขอเรียนต่อ จะขอช่วยแม่กับพ่อเลี้ยงไถนา หาเงินให้แม่ใช้ และอยากเป็นนักแคสเกม พากย์เกม นอกจากนี้ ลูกชายตนยังมีความสามารถในการวาดรูป ตนยังคงคิดถึงลูกเสมอเวลาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ สิ่งที่ตนรู้สึกเหมือนคุณครูเขาเอาหัวใจเราไป อีกกี่ปีผ่านไป ตนก็จะไม่มีวันลืมลูกชาย และจะไม่ลืมที่กลุ่มคุณครูทำกับตนไว้
โดยขณะที่แม่ของผู้ตายและกลุ่มญาติเข้าไปสอบถามตามหาผู้ตายกับทางโรงเรียนว่าพบเห็นผู้ตายหรือไม่ ซึ่งคณะครูบอกว่าผู้ตายน่าจะไปเก็บเต็นท์หรือไปเลี้ยงฉลองบ้านเพื่อน แต่เมื่อแม่ของผู้ตายก็ได้ขับรถจักรยานยนต์ไปตามหา ก็ไม่พบตัว
จากนั้น แม่ของผู้ตายและญาติกลุ่มหนึ่งจึงย้อนกลับไปที่โรงเรียนแล้วถามอีกครั้ง คำตอบที่ได้จาก ผอ.โรงเรียนและครู ซึ่งมีอาการมึนเมาเล็กน้อย ตอบกลับมาว่า "จะให้กูไปหาลูกมึงได้ที่ไหน" ซึ่งกลุ่มญาติโมโหมีการทุ่มเก้าอี้และถกเถียงกัน เพราะไม่พอใจที่ถูกเมิน แต่มีการนั่งดื่มตั้งแต่เวลาประมาณ 14.30 น. จนถึงเวลาประมาณ 23.00 น. ซึ่งมีคลิปพูดคุยที่ชาวบ้านพูดคุยกับเด็กนักเรียน 1 คนที่เห็นเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุที่ 16 มี.ค. 64
นายเอสโซ่ (นามสมมติ) เพื่อนของผู้ตาย บอกว่า ตนเห็นผู้ตายเป็นคนสุดท้าย ขณะที่ตนและเพื่อนกำลังจะวิ่งลงไปในน้ำ ฐานหนีภัยสงคราม ตนได้เห็นผู้ตายยืนอยู่ริมขอบบ่อ จากนั้นตนก็ไม่เห็นผู้ตายอีกเลย เนื่องจากตนจดจ่อกับการทำกิจกรรม แม้กระทั่งตนขึ้นมาจากน้ำแล้ว ก็ไม่ทันสังเกตว่าผู้ตายอยู่ที่ไหน
โดยรูปภาพที่ปรากฎหมู่ของตน 8 คน เป็นรูปสุดท้ายของผู้ตายที่ครูถ่ายไว้ ขณะที่ร่วมเล่นฐานที่ 4 บัวตูมบัวบาน ตนไม่มีลางสังหรณ์ ขณะนั้นผู้ตายยังคงมีความสุข เฮฮาเล่นน้ำกับเพื่อน แม้ผู้ตายจะเป็นคนกลัวน้ำ และไม่ยอมมาเล่นน้ำกับเพื่อน ๆ แต่หากมีกิจกรรมเข้าค่ายลูกเสือที่ต้องลงน้ำ ผู้ตายก็จะเข้าร่วมกิจกรรมแล้วสนุกกับเพื่อน ๆ เสมอ
ทั้งนี้ คุณครูไม่ได้ถามว่าใครไม่พร้อมหรือใครว่ายน้ำไม่เป็น ตนคาดว่าที่ครูไม่ถาม เพราะครูได้ประกาศบอกในตอนก่อนเริ่มเข้าฐานผจญภัยในช่วงบ่ายแล้ว ตนเชื่อว่าผู้ตายไม่มีทางเดินลงไปในน้ำลึกเอง แต่ตนไม่รู้ว่าทำไมผู้ตายถึงจมน้ำเสียชีวิต ขณะนี้เพื่อน ๆ ทุกคนกลัวการเล่นน้ำ และไม่อยากให้มีการจัดกิจกรรมในน้ำอีกแล้ว
จากการตรวจสอบบนเฟซบุ๊กของผู้เสียชีวิต เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 64 ก่อนเสียชีวิต มีการแชร์เพลงสากลทั่วไป และไม่มีลางบอกเหตุใด ๆ
นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เปิดเผยว่า ครอบครัวเด็กมาปรึกษา มีความกังวลใจเนื่องจากไม่มีความรู้ทางกฎหมาย กลัวว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม ตนมองว่าสามารถเอาผิดได้ ข้อหาประมาทจนทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท และสามารถเอาผิดครูประจำฐานได้ ส่วน ผอ. จะมีความผิดหรือไม่ ต้องไปดูในความรับผิดชอบว่าวันเวลาดังกล่าวมีการอนุมัติหรือเกี่ยวข้องอะไรกับฐานที่เด็กต้องลงน้ำหรือไม่ โดยตนเองมองว่า ผอ. ต้องถูกสอบสวน
ตามกกฎหมายแล้ว ความประมาทเลินเล่อของครู ซึ่งเป็นบุคลากรของกระทรวงศึกษาธิการ และบุคลากรของโรงเรียน การเยียวยาชดใช้ ทางโรงเรียนและกระทรวงศึกษาต้องรับผิดชอบทุกบาททุกสตางค์ ค่าจัดงานศพก็ต้องรับผิดชอบ เคสนี้เป็นเคสที่ยอมไม่ได้แน่นอน ส่วนในการสอบสวนมองว่าระหว่างที่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนหาข้อเท็จจริง ครูควรจะต้องย้ายออกนอกพื้นที่ เพราะพยานเป็นเด็กนักเรียน ครูอาจจะไปกดดันเด็กจนเด็กไม่กล้าพูดได้ ตำรวจก็ไปเอาข้อมูลไม่ได้ ซึ่งถ้าสอบคดีเสร็จแล้วค่อยย้ายกลับมา
กรณีที่ครูกินเหล้าในสถานศึกษาหลังเกิดเหตุ ถ้ามีการยืนยันครูดื่มเหล้าจริง มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท เรื่องนี้อยากถามทางกระทรวงศึกษาธิการ ถ้าครูกินเหล้าในโรงเรียนจะลงโทษไล่ออกไหม