จากกรณีชาวเน็ตได้แชร์คลิปหญิงสาวคนหนึ่งถือทะเบียนสมรสบุกงานแต่งสามีตนเอง ซึ่งไปแต่งงานใหม่โดยที่ทั้ง 2 คนยังไม่ได้หย่าขาดกัน ทำให้ชาวเน็ตพากันแสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวอย่างหนัก ซึ่งล่าสุดฝ่ายภรรยาหลวง ได้ปรึกษาทนายเพื่อยื่นฟ้องหญิงที่แต่งงานซ้อนแล้วนั้น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เปิดใจแม่ผัวแห่งชาติ ตบลูกชายแต่งงานซ้อนยุฟ้อง - เมียช้ำถูกเย้ยน้ำพริกถ้วยใหม่
- ตำรวจหนุ่มลาราชการหลบข่าวฉาวหนีเมียไปแต่งงาน พ่อตาเผยเสียใจแต่พร้อมให้อภัยลูกเขย
ล่าสุด วันที่ 19 ก.พ. 64 ส.ต.ต.ศรันญู เปิดใจว่า ตนขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ขอให้โทษตนคนเดียว ทั้งภรรยาและเจ้าสาวที่แต่งงานด้วยไม่ได้ผิด และตนขอยอมรับผิดกับเรื่องทั้งหมดเอง ส่วนหลังจากนี้ยังไม่ขอตัดสินใจว่าจะอยู่กับใครต่อไป ขออยู่ตรงกลาง ไม่เลือกทั้งภรรยาและเจ้าสาวที่แต่งงานอีกคนด้วย
ทีมข่าวอมรินทร์เดินทางไปบ้านของ ส.ต.ต.ศรันญู ต.เขาท่าพระ อ.เมือง จ.ชัยนาท พบกับ ร.ต.ต.สมจิต อายุ 60ปี พ่อของ ส.ต.ต.ศรันญู เผยว่า สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้ตนยังไม่ได้คุยกับลูกชายและทางครอบครัวของเจ้าสาว เนื่องจากไม่สามารถติดต่อกับทางลูกชายได้ หลังจากเกิดเหตุ แต่ขณะนี้ทางครอบครัว ลูกสะใภ้และหลานสาว อยู่ในสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ เพราะไม่คิดว่าลูกชายจะมีพฤติกรรมชู้สาวกับหญิงอื่นถึงขึ้นแอบไปแต่งงานกัน
โดยวานนี้ 18 ก.พ. หลังจากเสร็จสิ้นงานแต่งงาน ลูกชายได้กลับมาที่บ้านเพื่อขอโทษทางกับทางภรรยาของตน ทำให้มีปากเสียงกันรุนแรง แต่ไม่ถึงขั้นทำร้ายร่างกาย เนื่องจากตนคอยห้ามไว้ ขณะพูดคุยภรรยาตนก็ไม่รับคำขอโทษจากลูก บอกว่าทำไปแล้วก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา อีกทั้งก่อนไปแต่งงานลูกชายบอกว่าไปออกเวร
อย่างไรก็ตาม หากตนมีโอกาสได้พูดกับทางเจ้าสาวที่ลูกชายไปแต่งงานด้วย ก็อยากจะบอกว่า "อยากให้เลิกยุ่งเกี่ยวกัน อยากให้เห็นใจทางลูกสะใภ้ที่อยู่กินกับลูกชายและคนในครอบครัวมานาน อีกทั้งก็มีลูกด้วยกัน เพื่อครอบครัวของตนจะได้กลับมาเป็นแบบเดิม"
สุดท้ายนี้ กรณีที่เกิดขึ้นตนก็ไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัด เนื่องจากจากการสอบถามลูกชายก็ไม่ได้บอกรายละเอียดจุดประสงค์ที่แอบไปแต่งงานใหม่ ปกติแล้วลูกชายก็เป็นคนดี เป็นธรรมดาของผู้ชายที่จะมีนอกลู่นอกทางบ้าง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการกระทำที่ผิด ตนก็อยากจะให้ลูกชายรีบกลับมาเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้นให้มันจบลงโดยเร็ว ไม่ใช่หนีหายไปแบบนี้
ขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษก ตร. กล่าวถึงกรณีที่เกิดขึ้นว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัว โดยเจ้าบ่าวพึงจะคิดเองได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อตนเองและองค์กรอย่างไร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีบทลงโทษทางวินัยอยู่แล้ว กรณีตำรวจกระทำผิดวินัยจะมีการสืบสวนข้อเท็จจริง พร้อมรวบรวมพยานหลักฐาน หากพบว่ากระทำผิดจริงก็จะถูกลงโทษทางวินัย ซึ่งมีการกำหนดบทลงโทษไว้แล้ว เช่น
ข้าราชการตำรวจเกี่ยวข้องกับหญิงอื่น หรือ ชายอื่น โดยที่ตนเองมีภรรยาหรือสามีอยู่แล้ว และเกิดเรื่องเสื่อมเสีย ลงโทษกักขัง 30 วัน, ได้หญิงหรือชาย เป็นภรรยาหรือสามีแล้วไม่เลี้ยงดู และเกิดเรื่องเสื่อมเสียหรือเสียหาย ลงโทษกักขัง 30 วัน, จดทะเบียนสมรสซ้อน ลงโทษกักขัง 30 วัน, ไม่เลี้ยงดูคู่สมรสและบุตร และไม่ยกย่องฐานานุรูป ลงโทษกักขัง 30 วัน สำหรับการประพฤติตนในลักษณะที่ไม่สมควรประพฤติ
ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง แต่ถ้ามีพฤติกรรมอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ทำหลายครั้ง หลอกเอาเงินทอง ใช้อำนาจหน้าที่บังคับข่มเหง กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง จะเป็นการกระทำผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ซึ่งมีบทลงโทษที่หนักขึ้นตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
