จากกรณีนางสาวสิทธิญา กัลยาณสิทธิ์ เผยแพร่เรื่องราวกับสื่อสังคมออนไลน์ถึงเรื่องราวการเสียชีวิตของ "น้องติณ" ลูกชายวัย 1 ขวบ 1 เดือน เข้ารักษาตัวกับโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.เพชรบุรี ด้วยอาการชักเกร็ง ในขณะที่ผู้เป็นแม่พยายามร้องเรียกให้แพทย์ช่วยเหลือ แต่รอแพทย์นาน จนทำให้น้องติณเสียชีวิตในที่สุด
วันที่ 14 ก.พ. 64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่ไปยังวัดหนองจอก หมู่ 5 ต.หนองจอง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ภายในวัดถูกจัดงานศพของน้องติณ วัย 1 ขวบ 1 เดือน ตั้งอยู่ภายในศาลา ซึ่งเป็นการจัดงานศพเป็นวันที่ 3 ใกล้โรงศพ มีขวดนมและน้ำของเด็ก มีขนมปัง อาหารบดของน้องติณ
นางสาวสิทธิญา กัลยาณสิทธิ์ แม่ของผู้เสียชีวิต เล่าว่า ตนมีลูกชายคนเดียว เป็นลูกคนแรก ชื่อว่าน้องติณ วันที่ 11 ก.พ. 64 น้องติณมีอาการไข้ขึ้นสูง 38 องศา เช็ดตัวแล้วแต่อาการไม่ดีขึ้นจึงนำตัวส่งโรงพยาบาล แพทย์แจ้งว่าน้องติณมีอาการทอนซิลอักเสบจึงมีไข้ ถ้าให้นอนโรงพยาบาลก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ ตนจึงตัดสินใจพาลูกกลับมารักษาตัวที่บ้าน
กระทั่งเวลาประมาณเที่ยงคืน น้องติณมีอาการชักเกร็ง จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล ตั้งใจจะพาไปโรงพยาบาลพระจอมเกล้า จ.เพชรบุรี แต่ระยะทางค่อนข้างใกล กลัวลูกจะเป็นอันตรายจึงตัดสินใจพาตัวนำส่งอีกโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้มากที่สุด
จากนั้นน้องติณอยู่ในการรักษาของแพทย์ฉุกเฉินเวลา 00.30 น. โดยอยู่ในอาการชักเกร็งและขับถ่าย จากนั้นเวลา 00.45 น. ก็มีการตรวจเช็กจากการเอ็กซเรย์ปอด พบว่าน้องติณมีอาการปอดติดเชื้อเล็กน้อย ออกมาจากห้องฉุกเฉินเวลาประมาณ 01.00 น. น้องติณมีอาการเหม่อลอย มีอาการชักกระตุกอยู่บ้าง มีการให้น้ำเกลือ แพทย์แจ้งแค่ว่าเป็นอาการหลังชัก ตนก็เห็นว่าอาการยังไม่ดีขึ้น จึงเรียกพยาบาลมาดู พยาบาลก็บอกว่าจะแจ้งแพทย์ให้ ซึ่งแพทย์ก็ยังไม่มา
ต่อมา 03.00 น. น้องติณเกิดอาการชักอีกครั้ง ลิ้นออกมาตรงบริเวณฟัน ตนกลัวว่าน้องจะกัดลิ้นตัวเอง จึงขอพยาบาลให้ช่วยเรียกแพทย์อีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มา จนกระทั่งเวลาประมาณ 04.45 น. เกิดอาการชักรุนแรง พยาบาลจึงรีบนำตัวน้องติดเข้าห้องฉุกเฉินอีกครั้ง และได้เริ่มทำการปั๊มหัวใจจนถึงเวลา 05.15 น. แต่อาการไม่ดีขึ้น ทำการกู้ชีพอีกครั้งจนถึงเวลา 05.24 น. หัวใจหยุดเต้น และแพทย์แจ้งว่าน้องติณเสียชีวิตเวลา 06.24 น. โดยวินิจฉัยแล้วว่าปอดติดเชื้อด้วยแบคทีเรีย
ล่าสุดทีมแพทย์จากโรงพยาบาลมาร่วมงานศพ และชี้แจงขอโทษทางครอบครัวว่าเบื้องต้นทางโรงพยาบาลมีบุคคลากรทางการแพทย์ไม่พอ ขอให้เข้าใจว่าวันเกิดเหตุมีแพทย์เพียงคนเดียวที่เข้าเวร ทั้งนี้ ทางโรงพยาบาลจะช่วยดำเนินการขอกองทุนเพื่อมาเยียวยาทางครอบครัว ซึ่งตนไม่ต้องการให้มารับผิดชอบ เนื่องจากการเสียชีวิตของลูกไม่สามารถชดเชยได้ ไม่ได้ทำให้น้องติณ ฟื้นขึ้นมา ตนอยากให้โรงพยาบาลทบทวนการทำงานของตัวเองว่าเกิดข้อผิดพลาดและหละหลวมอย่างไรบ้าง การที่อ้างว่ามีแพทย์ฉุกเฉินเข้าโรงพยาบาลคนเดียว ก็เป็นหน้าที่ของโรงพยาบาลที่ต้องหาบุคลากรเพิ่ม ไม่ใช่ต้องให้คนไข้ยอมเข้าใจกับปัญหาของโรงพยาบาล
