ทนาย "ปรีชา" จ่องัดหลักฐานเด็ดสู้ หลังกระแสโจมตีหนัก - อัจฉริยะมีคลิปแฉคนบงการ (คลิป)

จากกรณี ที่โลกออนไลน์ มีการแชร์สติ๊กเกอร์ "คุณปรีดา ครุ่นคิด" ในอิริยาบถต่างๆ คล้ายครูปรีชา โดยขายในแอปพลิเคชั่นไลน์ โดยส่วนหนึ่งมีการตั้งขอสังเกตว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์ สามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่นั้น

วันนี้ (28 มี.ค.) นายวรยุทธ บุญวงศ์ใส ทนายความครูปรีชา เปิดเผยถึงกรณีนี้ว่า คนทำสติ๊กเกอร์ครูปรีชา ในแอปพลิเคชั่นไลน์นั้น อาจจะเป็นการล้อเลียน ในมุมตลกขบขัน ก็ถือว่าไม่เป็นไร แต่ควรจะต้องมาขออนุญาตกับครูปรีชาเสียก่อน เพราะอาจเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และจะทำให้ชื่อเสียงเสียหายได้ ขณะเดียวกัน ถ้าหากทำออกมาเพื่อขาย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขออนุญาตครูปรีชา เนื่องจากเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ หากทำขายจริงแล้วไม่ได้ขออนุญาต คนทำสติ๊กเกอร์อาจถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ ตนอยากให้ลองคิดดูว่า หากเป็นตัวเราโดนล้อเลียนก็คงไม่มีใครชอบ ทั้งนี้ ตนติดตามคดีหวย 30 ล้าน มาโดยตลอด ในฐานะทนายความ เห็นว่าคดีนี้เป็นเรื่องเล็ก แต่กลับกลายเป็นเรื่องราวบานปลายใหญ่โต ตนจึงมาสืบหาข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐาน เพื่อเสนอให้กับครูปรีชาพิจารณา ก่อนจะรับเป็นทนายความให้กับครูปรีชา ในคดีหวย 30 ล้าน อย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ตาม เร็วๆ นี้ ตนจะเข้าไปพูดคุยเสนอแนวทางต่อสู้ของครูปรีชา ส่วนเรื่องหลักฐานที่จะใช้สู้คดี ตนจะลงพื้นที่เพื่อพูดคุยกับแม่ค้าและคนในตลาดเหมือนกับทนายษิทรา เพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงให้ได้มากที่สุด ก่อนจะรับเป็นทนายดูแลคุ้มครองสิทธิ์ให้กับครูปรีชา ส่วนกรณีที่หลายคน มองทนายฝั่งครูปรีชาเป็นคนไม่ดีนั้น ยอมรับว่าไม่ได้ทำรู้สึกหมดกำลังใจ หรือท้อแท้ และตนเองเข้ามาทำคดีนี้ไม่ได้อิงกระแส แต่ทำตามข้อเท็จจริง นอกจากนี้ทนายวรยุทธ ทิ้งท้ายว่า หากได้เป็นทนายของครูปรีชาอย่างเป็นทางการ จะให้ครูปรีชานำหลักฐานที่มี ซึ่งอ้างว่าจะใช้ในชั้นศาลบางส่วนมาเปิดเผยให้สังคมได้รับรู้บ้าง เพราะครูโดนกระแสสังคมโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว

ขณะที่ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เปิดเผยว่า มีคลิปภาพและเสียงสำคัญ ที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน โดยได้มาจากแหล่งข่าวคนสำคัญที่ส่งมาให้ตนเองในวันนี้ ซึ่งภายในคลิปจะเป็นหลักฐานสำคัญ ที่บอกว่ามีใครเกี่ยวข้องกับการวางแผน และส่วนแบ่งของเงินหวย 30 ล้าน ขณะนี้ตนได้ส่งคลิปดังกล่าวไปให้ ปอท.ตรวจสอบในเบื้องต้นแล้ว เพื่อพิสูจน์ว่าคลิปนั้นมีการตัดต่อหรือไม่ หากไม่ใช่การตัดต่อ ก็จะสามารถส่งให้ตำรวจ และใช้เป็นหลักฐานสำคัญในชั้นศาลได้