กรณีพ.ต.ต.ปุณณภพ ไชยโย สารวัตรสอบสวน สภ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี ได้รับแจ้งเหตุ นายประมาณ รักเมือง อายุ 43 ปี ขี่รถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายมากับภรรยาและบุตรสาววัย 10 ขวบ กลับมาจากงานบุญทอดกฐินวัดบ่อน้ำผุด ถูกคนร้ายชาย 2 คน สวมหมวกปิดบังใบหน้า ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาประกบทางด้านขวา และถูกคนร้ายคนที่ซ้อนท้ายยิงบนถนนประมาณ 4 - 5 นัด ภายในซอยหมู่บ้านบ่อน้ำผุดพื้นที่ หมู่ที่ 7 ต.ถ้ำสิงขร อ.คีรีรัฐนิคม ก่อนจะขี่รถหลบหนีไป
เมื่อตรวจสอบสภาพศพ พบว่าสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีดำ สวมกางเกงขาสั้นสีน้ำตาล สวมรองเท้าแตะสีชมพู บริเวณคอสวมสร้อยเหรียญ ร.5 สีทอง 1 องค์ บริเวณคอเสื้อมีสร้อยร้อยเหรียญหลวงพ่อกระจาย 1 องค์ ตะกรุดสั้น 1 ดอก ตะกรุดยาว 1 ดอกไว้ด้วยกัน นอนทับรถจักรยานยนต์ ทะเบียน 1 กฎ 330 สุราษฎร์ธานี ที่ล้มคว่ำอยู่ มีบาดแผลถูกยิงเข้าแก้มขวา 2 แผล และข้างกกหูขวา 1 แผล โดยตรวจพบชิ้นส่วนทองแดงตกอยู่ข้างศีรษะ คาดเป็นลูกกระสุนปืนตกอยู่ 1 ชิ้น
เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ตรวจสอบกระเป๋าสะพายสีดำของผู้ตายที่ติดตัวมา พบปืนสั้นขนาด 9 มม. 1 กระบอก ซองกระสุนปืนพร้อมกระสุนบรรจุอยู่ 11 นัด กระเป๋าสตางค์บรรจุเงินสดจำนวน 18,120 บาท จึงเก็บไปเป็นหลักฐาน
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังอยู่ในระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อแจ้งข้อหาแก่ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ได้แก่ 1.ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โดยไตร่ตรองไว้ก่อน 2.มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต 3.พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีเหตุอันควร ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ ภ.จว.สุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า นายประมาณ เป็นพลเมืองดีที่คอยช่วยเหลืองานสืบสวนของทางราชการด้วยดีตลอดมา ด้วยเหตุนี้อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่คนร้ายติดตามมาล้างแค้น
ล่าสุดวันที่ 1 พ.ย.63 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้เดินทางมายังที่เกิดเหตุ พบเป็นถนนลูกรังความกว้างเพียง 3 เมตร อยู่กลางสวนปาล์ม มีบ้านคนตั้งอยู่ 3 หลัง แต่ในวันที่เกิดเหตุ (31 ต.ค.63) ไม่มีชาวบ้านคนใดอยู่ภายในบ้าน เนื่องจากชาวบ้านหมู่ 7 ทุกคนออกไปทำกฐินประจำปีที่วัดบ่อน้ำผุดกันทั้งหมู่บ้าน
ขณะเดียวกันทีมข่าวได้เดินทางมายังบ้านของ นางมาลี ชัยรักษา อายุ 57 ปี แม่ยายของผู้ตาย ซึ่งทุกคนในครอบครัวยังคงทำใจไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะลูกสาวผู้ตายวัย 9 ขวบ ที่อยู่ในเหตุการณ์
นางมาลี เล่าทั้งน้ำตาว่า ในวันเกิดเหตุ ตนซึ่งอาศัยอยู่ภายในบ้าน ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 650 เมตร ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 3 นัด ซึ่งตอนแรกคิดว่าเป็นการจุดประทัด แต่เมื่อมีชาวบ้านมาบอกว่าลูกเขยถูกยิง ตนถึงกับช็อกทำอะไรไม่ถูก เนื่องจากลูกเขยเป็นคนนิสัยดี ขยันทำงาน ไม่มีศัตรูที่ไหน ไม่เคยทะเลาะวิวาทกับใคร
ทั้งนี้ตนคิดว่าเหตุการณ์นี้โหดร้าย ตนรู้สึกสงสารหลานสาววัย 9 ขวบ เพราะหลานสาวเห็นเหตุการณ์กับตา โดยเมื่อคืนนี้หลานสาวตนร้องไห้แล้วพูดออกมาทั้งคืนว่า “พ่อตายแล้ว หนูกำพร้าพ่อ” ตนจึงได้ให้ลูกสาวและหลานสาวทั้ง 2 คนมานอนอยู่ที่บ้านของตน และได้ปลอบไปว่า “ยายกับตาจะดูแลหนูเอง”
ลูกเขยตนเป็นเสาหลักของครอบครัว มีอาชีพกรีดยาง มีรายได้วันละ 400 - 500 บาท ตนอยากจะบอกกับลูกเขยว่าไม่ต้องเป็นห่วง ตนจะดูแลลูกสาวและหลานทั้ง 2 คนต่อจากลูกเขยเอง ส่วนข้อมูลที่บอกว่าลูกเขยเป็นสายตำรวจ ตนไม่เคยทราบมาก่อน ซึ่งตนก็รู้สึกตกใจกับข่าวที่ออกไป ทั้งนี้ตนอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งจับตัวคนร้ายให้ได้โดยเร็ว
น.ส.นาฏญา ชัยรักษา หรือ ก้อย อายุ 36 ปี ภรรยาผู้ตาย ให้สัมภาษณ์กับอมรินทร์ ทีวี ผ่านทางโทรศัพท์ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน โดยเจ้าตัวขอแก้ข่าวว่าสามีนั้นไม่ได้เป็นสายให้ตำรวจ เมื่อวานนี้ (31 ต.ค.63) วันเกิดเหตุ ตนกับสามีและลูกสาวได้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ออกมาจากวัดบ่อน้ำผุดหลังจากไปทำบุญกฐินด้วยกัน โดยขณะนั้นตนไม่ได้สังเกตว่ามีใครขับรถตามมาหรือไม่ เนื่องจากชาวบ้านทั้งหมู่บ้านและจากต่างถิ่นได้เดินทางมาทำบุญที่วัดหลายคน
เมื่อสามีของตนขับมาถึงที่เกิดเหตุ ตนก็สังเกตเห็นชาย 2 คน สวมใส่เสื้อแจ็กเก็ตแขนยาวสำดำ นั่งซ้อนท้ายรถจักรยาน ขับแซงมาทางด้านขวา จากนั้นชายที่นั่งซ้อนท้ายก็ได้ยิงปืนใส่สามีจนรถจักรยานยนต์ของตนล้มลง เลือดไหลนองเต็มพื้น ไม่นานนักชาย 2 คนที่ขับรถจักรยานยนต์ผ่านไปแล้วก็ได้วนรถกลับมา ย้อนกลับออกไปทางเดิม ตนได้แต่วิ่งพาลูกไปแอบอยู่ข้างทาง กลัวว่าจะถูกทำร้าย
นอกจากนี้ตนไม่มีลางบอกเหตุมาก่อน ตนไม่ทราบปมการก่อเหตุ เนื่องจากสามีตนไม่มีศัตรู อีกทั้งตนยังขอแก้ข่าวว่าสามีตนไม่ใช่สายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะนี้ตนกลัวความปลอดภัยของครอบครัว กลัวว่าจะถูกคนร้ายย้อนกลับมาทำร้าย เพราะตนและลูกสาวคนเล็กอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ส่วนปืนที่ที่สามีของตนพกติดตัวไปด้วยนั้น เป็นปืนของสามีจริง
จากนี้ตนจะพยายามเข้มแข็งเพื่อลูกสาววัย 12 ขวบ และ 9 ขวบ โดยเฉพาะลูกสาวคนเล็กที่เห็นเหตุการณ์ ซึ่งตนก็ได้พยายามปลอบไปว่า “แม่ยังอยู่ ๆ” ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับคนร้ายให้ได้โดยเร็ว
