"บิณฑ์" อุทิศชีวิตเพื่อเพื่อนมนุษย์กว่า 30 ปี เลิกคิดเรื่อง "ความรัก"

29 ต.ค. 63

"บิณฑ์ บันลือฤทธิ์" เจ้าของฉายา "พระเอกเก็บศพ" หรือ "พระเอกสัปเหร่อ" เดินหน้าทำภารกิจช่วยเหลือสังคมมาตลอดเวลากว่า 30 ปี ล่าสุดได้มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ เผยว่าแม้ปัจจุบันจะลดบทบาทการเก็บศพ แต่สิ่งที่ยังยึดมั่นเสมอคือ "ความตั้งใจ" ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง แบบไม่มีผลตอบแทน รวมถึงทุ่มเทเวลาทำหน้าที่จิตอาสาตลอดเวลา จนทำให้เลิกคิดเรื่อง "ความรัก" ไม่แคร์แม้ต้องเป็นโสดตลอดชีวิต

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "อ๊อด โฟร์เอส" เล่ามรสุมชีวิตป่วยเป็นอัมพฤกษ์ แต่ลุกขึ้นสู้จนได้เป็นเจ้าพ่อรำวงชาวบ้านชื่อดัง
- "อุ้ย รวิวรรณ" จากจุดสูงสุดสู่คนถูกฟ้องล้มละลาย มีชีวิตใหม่ได้เพราะยึดหลักธรรมะ
- เปิดใจ "บอล เชิญยิ้ม" ถึงสัญญาใจที่มีต่อ "โรเบิร์ต สายควัน"
- "แซม ยุรนันท์" เคยหนีออกจากบ้าน เพราะอยากเข้าวงการบันเทิง!
- ปังไม่หยุด!! "เปา กิ่งกาญจน์" ปล่อยเพลงเร็วเพลงแรกในชีวิต คืนเดียวยอดวิวทะลุล้าน!!
- "หนุ่ม ศรราม" ไม่เคยเหนื่อยกับคำว่า "พ่อ" รอคำว่ารักจากปากลูกสาว
- ดูเพลิงนางย้อนหลัง ละครแซบอมรินทร์ทีวี ที่นี่   

s__63553700

ถาม ทิ้งวงการเลยไหม เพราะภาพส่วนใหญ่เห็นอยู่กับการช่วยเหลือ

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : ไปๆ มาๆ ครับ ถ้าช่วงไหนเรารู้สึกว่าเราอยากทำให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมกับประเทศชาติ ทำแล้วอยากจะแบ่งปันความสุขให้กับคนอื่นบ้าง เราก็เชิญชวนมาทำความดีร่วมกัน เพราะมันไม่มีลิขสิทธิ์ในการทำความดี ใครทำก็ได้ และเราก็ทำงานในวงการบันเทิงบ้าง ทำหนังบ้าง เล่นละครบ้าง ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้ทิ้งวงการนะ เราเกิดมาจากวงการบันเทิง


ถาม แล้วเคยไหม ตื่นมาแล้วขี้เกียจ ไม่อยากทำอะไรเลย ขอสักวันที่ไม่อยากทำ มีบ้างไหม

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : ไม่เคยมีเลย เราจะมีตาราง เราจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเรามีอะไรต้องทำอะไรบ้าง ตื่นมาเราจะดูหน้าแฟนเพจก่อนเลยว่ามีใครเดือดร้อนไหม ถ้ามีใครที่เดือดร้อนเราก็ออกไปช่วยเขาก่อน เพื่อให้เขารู้สึกว่าได้มีกำลังใจ เขาจะได้ไม่ต้องกังวล หรือรอคอยความช่วยเหลือ เรารู้เราก็รีบยื่นมือไปช่วยเขาเลย


ถาม เคยแพลนไปเที่ยวหรือใช้ชีวิตของตัวเองบ้างไหม

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : สำหรับคนโสดแบบผม ไม่เคยมีแพลนแบบนั้นเลย ใน 10 ปีมานี้ ผมไม่เคยมีแฟนเลย เพราะเคยมีแล้วเขาเข้าใจในการทำงานเรา แต่เขาก็น้อยใจ ถ้าเราจะทุ่มเทแบบนี้ เราไม่มีแฟนดีกว่า มันได้เต็มที่ อยู่ไหนก็ช่างเรา ไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ทุกเวลา ทุกชั่วโมง มันเป็นอะไรที่มันไม่ใช่สำหรับตัวเรา เราเคยมีแฟนมา 2 คน คนแรกที่คบ เขาให้เราเลิกทำงานมูลนิธิ ให้เลือกเขา เราก็บอกเขาว่าก่อนที่เขาจะมาคบกับเรา เราทำงานมูลนิธิอยู่แล้ว มาถึงจุดหนึ่งที่เขาเห็นเรารักเขามาก ขาดไม่ได้ เขาเลยยื่นข้อเสนอนี้มา เรานั่งคิดอยู่สองวัน เราก็ตัดสินใจบอกเลิกเขาเลย เพราะงานมูลนิธิมันอยู่ในใจ คือสายเลือด แต่เขาคบกับเราประมาณ 6-7 ปี มันคือความผูกพัน แต่ถ้าไม่ให้ผมทำงานเพื่อสังคม ผมอยู่ไม่ได้ เลิกกับเขา ผมทำใจอยู่ 2 เดือน ผมอยู่ได้ เพราะว่าเรามีงานตรงนี้


ถาม แล้วมีคู่จิ้นไหม พี่บุ๋ม ปนันดา

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : ไม่มีครับ ไม่ใช่พี่บุ๋ม เรามีใจตรงกันในการทำจิตอาสา เจอกันก็กอดกัน เขาบอกเราว่าพี่มีใจขนาดนี้ ทุ่มเทให้กับตรงนี้เต็มที่ นับถือใจเรา อยากจะบอกว่าผมกับบุ๋ม คือไม่มีอะไรเลย ไม่ได้คิดอะไรเลย แต่เวลาเราเจอ เราสนิท เราก็ทักทายกัน ถ่ายรูปลงคู่กัน ทุกคนก็จะแซวเรา แต่จริงๆ ไม่มีอะไรครับ

s__63553706

ถาม ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาคือปิดประตูหัวใจ

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : ไม่ได้ปิด ไม่ได้สนใจมากกว่า เราสนใจแต่งาน เราไม่ได้มีความมุ่งมั่น เจอผู้หญิงสวยๆ ต้องเข้าไปขอเบอร์ ไม่เคยมีอย่างนั้น มีแต่คนเข้ามาคุยเรื่องงาน ดูแลตัวเองด้วยนะ โน้นนี่ เราก็ขอบคุณมากๆ ครับ ถ้าต้องไปกินข้าว ดูหนัง ไม่มีตรงนั้นครับ


ถาม ที่ไปไม่ได้เพราะทำงาน 7 วัน

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : ก็ไม่ได้ถึงกับ 7 วัน เราทำงานมาทั้งหมดก็ 33 ปี


ถาม งานที่จะมาถึงหูได้ ต้องเป็นเคสระดับไหน

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : ผมจะพิจารณา ถึงจะเป็นเคสเล็กๆ แต่มีความจำเป็นจริงไหม เขาต้องการเงินไหม เขาต้องการความช่วยเหลือยังไงบ้าง


ถาม ใครเป็นคนสแกนก่อนสำหรับงานต่างๆ

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : จะมีแฟนคลับอยู่กลุ่มหนึ่ง เข้าไปดูหน้าแฟนเพจของเรา เขาก็จะเป็นคนส่งเคสมาให้เราว่าพี่บิณฑ์ เคสนี้น่าสงสาร เคสนี้รอก่อนได้ ไม่เป็นไร เคสนี้หนัก บางวันออกสามเคส บางวันออกสี่เคส ถ้าเราออกต่างจังหวัด เราก็จะดูรายทางว่าเขามีเคสอะไรไหม เราจะได้แวะไปตามทางที่เราเดินทางไป

s__63553705

ถาม ขนาดมีคนสกรีนให้แล้ว ตรวจแล้ว แต่ยังมีเลือกเคสพลาด

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : เราเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี เราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เขาทำกับเรา ที่เขาต้องการจากเรามันไม่ใช่เรื่องจริง อย่างเช่น ผมไปถึงหน้าเคสแล้วผมตัวสั่นมาก พยายามระงับสติอารมณ์ ผมโกรธมาก ผมขับรถจากกรุงเทพไปนครสวรรค์ 3 ชั่วโมงกว่า เพราะเขาบอกเราว่าลูกกำลังจะตาย ไม่มีเงินซื้อนม จะพาลูกไปหาหมอ เราก็เร่งรีบเพื่อที่จะไปช่วย พอเราถึง เขาก็ตะโกนกันใหญ่ว่าพี่บิณฑ์ มาแล้ว เขาก็กระโดดมากอดเรากันใหญ่ ไม่มีความเศร้าหรืออะไรกันเลย เราก็ถามแล้วเคสที่น้องบอกพี่ล่ะ ไม่มีค่ะ อยากเจอพี่บิณฑ์เฉยๆ ชอบมาก กอดหน่อย ตอนนั้นเราบอกเขาว่าทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก เพราะยังมีคนที่เดือดร้อน เขาอยากได้ความช่วยเหลือ

บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ : ส่วนอีกเคส คือ เป็นการทำมาหากินของเขานะ เป็นมิจฉาชีพ มีคนพิมเคสมาให้เราไปดูหน่อย ผู้ชายคนนี้น่าสงสารมาก ไม่มีข้าวจะกิน มาตามหาลูกสาว ไม่มีใครสนใจเลย จะกลับบ้านแต่ไม่มีเงิน เราก็ไปเลยที่สมุทรปราการ เราก็ถามหา คนบริเวณนั้นก็ไม่มีใครรู้จัก แต่อยู่ๆ เขาก็เดินมาแล้วเป็นลมไปต่อหน้าเราเลย เราก็รีบวิ่งไปรับแก ไม่ได้สติ เลยนำส่งโรงพยาบาล แล้วบอกหมอว่าค่าใช้จ่ายเรารับผิดชอบเอง แล้วเราก็ไปงานต่อ แล้วก็กลับมาดูแกอีกครั้งช่วงบ่าย แต่พอไปถึง หมอบอกว่าลุงหนีไปแล้ว เราคิดว่าแกตื่นมาคงตกใจว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เราก็ไปตามหาแก แล้วไปเจออยู่ที่โรงพัก เราก็เข้าไปคุยกับลุง แกก็ดราม่าใส่เราเลยว่าแกมาตามหาลูกสาว แต่อยากกลับบ้าน เราก็เลยถามว่าแล้วหนีออกจากโรงพยาบาลทำไม แกบอกอยู่แบบนั้นไม่ได้หรอก เพราะแกมาตามหาลูกสาว (แต่ลุงเขาไม่รู้นะครับว่าผมคือบิณฑ์) ผมเลยถามว่าลุง จะเอายังไง แกบอกจะกลับบ้าน เราก็สั่งให้ลูกน้องไปซื้อตั๋วให้ลุงเลย 2 ใบ ให้แกนั่งสบายๆ แล้วก็ให้เงินลุงไป 5,000 บาท เราก็บอกลุงไม่ต้องมากรุงเทพแล้วนะ เราก็บอกคนขับรถทัวร์ว่าถึง สุรินทร์ แล้วโทรมาบอกเราด้วยนะ พอเราแยกจากเขา สามทุ่ม ห้าทุ่มคนขับรถทัวร์โทรมาหาเราเลยว่า ลุงอาละวาดหนักมากเลยในรถแกจะลง แล้วก็ต้องจอดให้เขาลง เขาคงกลับมาหากินเหมือนเดิม มันก็มีอีกหลายๆ เคสที่ผมเจอหนักบ้าง เบาบ้าง การหลอกหลวงมันมีหลายรูปแบบมากๆ แต่เราก็รู้สึกว่าเมื่อใจเราตั้งใจจะทำ จะช่วยเหลือแล้ว พวกเคสแบบนี้มันก็ต้องเจอบ้างเพราะจะได้เป็นกรณีศึกษาของเรา

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวบันเทิง เป็นกระแส