เมื่อวันที่ 19 ก.ย.63 เวลา 16.00 น. ชาวบ้านได้แจ้งกับผู้ใหญ่บ้านบึนบึก หรือ เวินบึก อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี ว่า พบศพปริศนาชุดสีเหลืองคล้ายพระ ลอยอยู่ที่ฝั่งประเทศลาว ตรงข้ามกับหมู่บ้านบึนบึก เจ้าหน้าที่อำเภอโขงเจียม พร้อมด้วยตำรวจ และพระทางวัดป่าห้วยหมากใต้ ได้ลงเรือล่องไปตรวจสอบว่าเป็นพระถาวรหรือไม่
จนกระทั่งได้รับคำยืนยันแล้ว เป็นร่างของพระถาวร ที่สูญหายไปตั้งแต่วันที่ 9 ก.ย.63 รวมเวลา 10 วัน 9 คืน
ทีมข่าวได้คุยกับ นายอุทิศ พึ่งปลา อายุ 47 ปี ชาวบ้านบึนบึก คนที่เจอศพคนแรก บอกว่า ตนกำลังล่องเรือไปส่งยาให้กับผู้ป่วยฝั่งประเทศลาว ระหว่างล่องเรือ เจอชาวบ้านที่กำลังหาปลาตกใจ เพราะเจอศพลอยน้ำ ตนจึงได้เข้าไปดู และนึกขึ้นได้ว่ามีพระบ้านห้วยหมากใต้หายไปบริเวณริมโขง จึงได้หาเชือกมาผูกที่ขาเอาไว้ แล้วลากศพไปผูกที่ริมฝั่งลาว เพราะยังไม่กล้าลากไปไหน กลัวว่าจะผิดประเพณีฝั่งไทย จึงได้ผูกติดเอาไว้ก่อน กลัวศพจะลอยไปไกล
ส่วนจุดที่เจอลอยน้ำ กับจุดที่ผูก ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร เพราะศพขึ้นอึด ท้องแตก ลอยอยู่ในน้ำ จึงให้ลอยไปช่วงขณะหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจลากไปผูกเอาไว้
สำหรับการแต่งกายของพระถาวร ยังมีชุดพระแต่งกายเหมือนเดิม มีสงบสวมใส่ และผ้าเหลืองค้องอยู่ที่คอ ยังแต่งกายเหมือนเดิมไม่ได้หลุดลุ่ย เพียงสภาพศพไม่เหมือนเดิมเท่านั้น ตนจึงมั่นใจว่า ต้องเป็นพระถาวรที่หาย จึงได้รีบประสานเจ้าหน้าที่ทางการไทยโดยด่วน
ในเวลา 18.05 น. พระครูปลัดอดิศักดิ์ อัคคธัมโม หรือครูบาเนร เจ้าอาวาสวัดป่าห้วยหมากใต้ พร้อมด้วยชาวบ้านห้วยหมากใต้ ได้เดินทางด้วยเรือประมง ไปรับศพพระถาวร ซึ่งพระครูบาเนร ลงเรือด้วยตัวเอง นำผ้าจีวรผ้าห่อร่างของพระถาวร ก่อนยกขึ้นเรือเพื่อเคลื่อนย้ายร่างไปที่ศาลากลางบ้าน
สำหรับขั้นตอนการตรวจสอบศพ แพทย์ได้มีการเดินทางมาดูสภาพศพ จากนั้นยืนยันการตายเบื้องต้น แล้วทำการเช็นเอกสารร่วมกับเจ้าหน้าที่ทางการลาว ขออนุญาตเคลื่อนย้ายร่างออกจากจุดเจอ จากนั้นแพทย์จะรตรวจชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้งเมื่อถึงฝั่ง
นางวาลี ลีลา อายุ 93 ปี โยมแม่ของพระถาวร ซึ่งไม่ได้เดินทางไปรับศพที่ท่าน้ำ แต่นั่งรออยู่ที่ศาลาวัดป่าห้วยหมากใต้ เปิดเผยว่า ตนไม่คิดว่าจะเจอพระลูกชายอยู่ในสภาพนี้ คิดว่าไปปฏิบัติธรรมแล้วจะกลับมาหา หลังจากนี้ตนก็จะอยู่เพียงลำพังแบบนี้ เพราะไม่เหลือใครในครอบครัวแล้ว ส่วนเรื่องขอพิธีกรรมก็จะทำตามประเพณี โดยจะต้องทำพิธีฝังดองเอาไว้จนกว่าจะครบ 3 ปี จึงจะขุดศพขึ้นมาบำเพ็ญกุศลต่อไป
แต่ส่วนตัวเชื่อว่า ลางบอกเหตุคือคืนของวันโกน 17 ก.ย.63 ที่พระลูกชายมาเข้าฝัน บอกว่าอยู่กุฏิในเมืองบาดาล มีการห่มชุดพระเต็ม มีผ้าคลุมหัว แล้วมาบอกตนเองว่า “มาส่งโยมแม่แค่ตรงนี้ โยมแม่อยู่กับอาตมาไม่ได้” ความฝันคืนนั้น อาจเป็นสิ่งที่พระลูกชายมาบอกก่อนจะจากไป แล้วมาพบเป็นศพวันนี้
สำหรับการนำศพขึ้นจากน้ำเป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะชาวบ้านไม่ยอมให้นำศพขึ้นฝั่งของหมู่บ้าน กลัวเรื่องอาถรรพ์ เรื่องกระทบประเพณี ตนจึงเสนอว่าแลกหมูแลกวัว เพื่อมีการซื้อที่นำร่างของพระลูกชายขึ้นมาจากน้ำ แต่ชาวบ้านก็ไม่ยอม ตนก็รู้สึกหนักใจและคิดมาก นอกจากจะสูญเสียพระลูกชายแล้ว ยังต้องมาเจอกับกลุ่มชาวบ้านที่มีลักษณะต่อต้าน ก็ไม่รู้ว่าการนำขึ้นมาจากน้ำจะทำอย่างไร แต่ก็เชื่อว่าชาวบ้านจะเห็นใจตน
ทั้งนี้ฝ่ายสืบสวนได้เคยวิเคราะห์เกี่ยวกับรอยเท้าที่ปรากฏอยู่บริเวณทรายพร้อมกับจีวร ซึ่งลักษณะรอยเท้าเป็นรอยเท้าที่ทิ้งน้ำหนักบริเวณนิ้วเท้า โดยคาดการณ์ว่าเป็นการเขย่ง หรือเจตนาเหยียบทรายแล้วพุ่งลงน้ำโขงโดยทันที จึงทำให้ไม่มีรอยเท้าบริเวณส้นเท้า
โดยคนปกติเหยียบทรายจะต้องเหยียบทั้งเท้า เห็นเป็นลักษณะรอยเท้าเต็มรูป ไม่ใช่เพียงแค่ส่วนปลายเท้าหรือนิ้วเท้า ขณะนั้นจึงวิเคราะห์ว่าอาจเป็นการทิ้งตัวไปข้างหน้า จึงทำให้นิ้วเท้าหน้าเกิดแรงกดเยอะกว่า
นอกจากนี้ช่วงที่ผ่านมา การค้นหาค่อนข้างมีอุปสรรค เนื่องจากกระแสน้ำแรง และสีน้ำค่อนข้างขุ่น จึงค้นหาบริเวณผิวน้ำ ประกอบกับขณะนั้นยังไม่ทราบจุดที่ชัดเจนว่าจมบริเวณจุดใด ไม่รู้ว่ามีการลงน้ำแล้วเสียชีวิต หรือเพียงแค่ทิ้งจีวรและร่องรอยไว้ แล้วกลับขึ้นไปบริเวณริมฝั่งตามเดิม
ทีมข่าวพบกับนายเสริม (นามสมมติ) อายุ 60 ปี อ้างตัวว่าเป็นผู้มีญาณ (ตัวแทนพญานาค) เดินทางมาเพื่อสัมผัสกับสิ่งที่มองไม่เห็นบริเวณกุฏิเก่า ตลอดช่วงที่ผู้มีญาณคุยกับทีมข่าว ได้พูดออกมาตลอดว่า “ขนลุก ท่านมาดูการให้สัมภาษณ์ ท่านมาบอกให้สัมผัสถึงได้”
นายเสริม เปิดเผยว่า ตนมีญาณเพราะมีการฝึกสมาธิ และเดินทางไปทุกที่ที่มีพญานาค เช่นวันนี้ที่เดินทางมาก็เพื่อมาโปรดและแนะนำการแก้ไขให้ถูกวิธี เพราะตนถือเป็นตัวแทนพญานาค เนื่องจากนิ้วกลางข้างซ้าย มีแหวนทำด้วยเพชรพญานาค "สีน้ำเงิน" ซึ่งเป็นสีสำหรับผู้มีบารมี เพราะเพชรพญานาคส่วนใหญ่ คนจะครอบครองสีแดง เหลือง เขียว และม่วงเท่านั้น
