จากกรณีที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากชาวบ้าน ม.4 บ้านหนองกอง ต.นาบ่อคำ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร ว่าเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นภายในหมู่บ้าน เนื่องจากในแต่ละวันจะมีคนเสียชีวิตบ่อยต่อเนื่อง ทั้งวัยรุ่นและคนชรา สร้างความแปลกใจเป็นอย่างมากให้กับชาวบ้าน โดยเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ก็เคยเกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันนี้มาแล้ว
สำหรับรายชื่อและข้อมูลผู้เสียชีวิต ประกอบด้วย ศพแรกนางสม อายุ 89 ปี เสียชีวิต 25 สิงหาคม 63 ด้วยโรคชรา เผาศพวันที่ 30 สิงหาคม 63 ศพที่ 2 นางจวน อายุ 65 ปี ตายด้วยโรคเบาหวาน เสียชีวิต 28 สิงหาคม 63 เผาศพวันที่ 3 กันยายน 63 ส่วนศพที่ 3 นางล้วน แสงหม้อ อายุ 94 ปี เสียชีวิตด้วยโรคชรา เมื่อ 30 สิงหาคม 63 เผาวันเสาร์ที่ 5 กันยายน 63 (ทำผิดกฎหมู่บ้าน)
ขณะที่ศพ 4 นายสุรินทร์ แสงอรุณ อายุ 73 ปี ประสบอุบัติเหตุรถชน วันที่ 5 กันยายน 63 (วันเผาศพนางด้วน) เผาศพ 9 กันยายน 63 ถัดมาศพที่ 5 นายสุพล คัฒมาศรี อายุ 63 ปี เสียชีวิตโรคเบาหวาน เมื่อวันที่ 8 กันยายน 63 กำหนดเผาศพวันศุกร์ที่ 11 กันยายน 63 และศพที่ 6 นายยก ชาวบ้านบ้านมอเจริญ แต่มาทำงานที่บ้านหนองกอง 20 ปี เสียชีวิตวันที่ 9 กันยายน 63 เวลา 11.00 น. ด้วยโรคปอด โรคหอบ
ล่าสุดวันที่ 10 ส.ค.63 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ลงพื้นที่มายังวัดหนองกอง ต.นาบ่อคำ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งศพจองนายสุรินทร์ แสงอรุณ ผู้เสียชีวิตศพที่ 4 ซึ่งเสียชีวิตจากการประสบอุบัติเหตุ ถูกรถกระบะชนเสียชีวิต
นายธนพร แสงอรุณ ลูกชายชายของนายสุรินทร์ ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวอมรินทร์ทีวีว่า สำหรับพ่อของตนเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเป็นศพที่ 4 วันที่เกิดเหตุ พ่อของตนได้กลับจากร่วมงานศพของนางล้วน แสงหม้อ เมื่อวันที่ 5 กันยายน ซึ่งตรงกับวันเสาร์ พอมาถึงบ้านพ่อได้นั่งพูดคุยกับตนว่า "น่าจะไม่มีใครตายอีกแล้วนะ หวังว่าศพยายล้วนจะเป็นศพสุดท้าย"
หลังจากพ่อพูดคุยเสร็จ นายสุรินทร์พ่อของตนได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านเพื่อจะไปที่งานศพของนางล้วน เพื่อช่วยจัดเตรียมของทำบุญตักบาตร ระหว่างที่พ่อของตนขี่รถออกไปที่ถนนในหมู่บ้าน ก็เกิดมีรถกระบะชนรถมอเตอร์ไซค์ของพ่อตนจนเสียชีวิต
ส่วนตัวแล้วเชื่อว่าสาเหตุที่พ่อเสียชีวิต น่าจะมาจากอาถรรพ์ของหมุ่บ้าน เนื่องจากตามความเชื่อของ "เสาปู่หลักบ้าน" ซึ่งเป็นเสาศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านเขามีข้อห้ามห้ามเผาศพวันเสาร์ แต่เมื่อวันเสาร์ที่ 5 กันยายน 63 ที่ผ่านมา ได้มีการเผาศพนางล้วน ไปทำผิดกฎของเสาปู่หลักบ้าน และทำให้เกิดการเสียชีวิตติดต่อกัน ซึ่งหลังจากพ่อตนเสียชีวิต ในวันที่ 8 กันยายน 63 นายสุพล ชาวบ้านในหมู่บ้าน ก็มาเสียชีวิตเป็นศพที่ 5 ต่อจากพ่อตน ซึ่งศพของนายสุพลก็ยังรอเผาในวันศุกร์ที่ 11 กันยายน 63 ที่จะถึงนี้
หลังจากให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวอมรินทร์ทีวีเสร็จ นายธนพรพร้อมกับครอบครัว ก็ได้จุดธูปทำพิธีขอขมาศพนายสุรินทร์ต่อหน้าศพ เพื่อเป็นการขอโทษ ผู้เสียชีวิต
ต่อมาทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้มาพูดคุยกับนางเข็มทอง หันประดิษฐ์ ลูกสาวของนางล้วน แสงหม้อ ผู้เสียชีวิตศพที่ 3 และเป็นศพที่มีการเผาในวันเสาร์ที่ 5 กันยายน 63 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันต้องห้ามนั้น
นางเข็มทอง เล่าว่า นางล้วนแม่ของตน เสียชีวิตวันที่ 30 สิงหาคม 63 และเผาศพวันเสาร์ที่ 5 กันยายน 63 ที่ผ่านมา ยอมรับว่าแม่ของตนเผาศพในวันต้องห้ามของหมู่บ้านจริง ที่ห้ามเผาศพในวันอังคาร และวันเสาร์ แต่เนื่องจากว่าญาติตนเดินทางมาจากต่างจังหวัดกันจำนวนมาก และรีบกลับไปทำธุระ ตนจึงสะดวกเผาศพแม่ในวันเสาร์ และตนได้สอบถามผู้ใหญ่บ้านว่า สามารถเผาศพแม่ได้หรือไม่หากเผาวันเสาร์ ทางผู้ใหญ่บ้านก็ตอบว่า สามารถเผาได้ แต่ต้องทำพิธีแก้เคล็ด
แต่เนื่องจากวันที่เผาศพแม่ตนนั้น ต่างคนต่างยุ่ง และคนพาทำพิธีลืมทำพิธี จึงทำให้วันเผาศพแม่ของตนไม่มีพิธีแก้เคล็ด ตนจึงเชื่อว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาถรรพ์ในหมู่บ้าน
โดยวันที่เผาแม่ตนนั้น นายสุรินทร์ (ศพที่ 4) ชาวบ้านในหมู่บ้านตนได้มาร่วมงานศพแม่ของตน หลังจากเขากลับไปบ้านไม่นาน ก็ประสบอุบัติเหตุถูกรถกระบะชนเสียชีวิต
ตั้งแต่ตนเผาศพแม่ตนในวันต้องห้าม และมีคนเสียชีวิตหลังจากแม่ตนอีก 2 ศพ ตนก็ถูกชาวบ้านในหมู่บ้าน พากันจับกลุ่มพูดถึงแม่ตนว่า เป็นเพราะศพแม่ของตนที่เผาวันต้องห้าม ทำให้มีคนตายติดต่อกัน และยังว่าตนทำพิธีเผาศพแม่ ไม่รู้จักดูบ้านดูเมืองว่าเขาทำอย่างไรอีกด้วย ตนยอมรับว่าเสียใจมาก ไม่ใช่ว่าตนไม่ศึกษาข้อห้ามของหมู่บ้าน แต่ตนปรึกษาทางผู้ใหญ่บ้านแล้ว
วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน 63 ที่จะถึงนี้ ตนก็จะไปร่วมพิธีขอขมาเสาปู่หลักบ้านกับชาวบ้านอีกด้วย เพื่อไม่ให้ชาวบ้านติฉินตนกับแม่ที่เสียชีวิตไปแล้ว
ด้านนายแดง (นามสมมติ) ชาวบ้านหมู่บ้านใกล้เคียง ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวอมรินทร์ทีวีว่า เมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา เวลาประมาณเที่ยงคืน ตนได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์มากับเพื่อนคนหนึ่ง ขี่ผ่านหมู่บ้านหนองกอง หมู่บ้านที่มีผู้เสียชีวิตติดต่อกันขณะนี้
ในระหว่างที่ตนขี่รถก็มองไปเห็นดวงไฟสีเขียวเหลือง กระพริบ ๆ ทางด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้าน แสงไฟดังกล่าวลอยจากเหนือหลังคาบ้านขึ้นไปบนฟ้าแล้วแตกบนท้องฟ้าคล้ายกับพลุ แล้วก็หายไป
นายแดง ยอมรับว่า แสงที่ตนเห็นนั้นไม่ใช่พลุแน่นอน เนื่องจากไม่มีเสียง กระทั่งวันรุ่งขึ้นตนได้นำเรื่องดังกล่าวไปบอกกับเพื่อนของตนคนหนึ่งที่อยู่บ้านหนองกอง เพื่อนของตนจึงตอบตนว่า แสงที่ตนเห็นเป็นแสงของว่านผีโพง ผีเป้า ส่วนกรณีที่มีชาวบ้านหนองกอง ตายติดต่อกัน 5-6 ศพนั้น ตนก็คิดว่าน่าจะไม่เกี่ยวข้องกับว่านผีโพง ผีเป้า ที่ตนเห็นแสงไฟ เนื่องจากยังไม่มีหลักการทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ได้ ว่าชาวบ้านตายเพราะผีโพงหรือไม่
ส่วนชาวบ้านหนองกอง เป็นชาวบ้านที่อพยพมาจากทางภาคอีสาน มาอยู่ที่ จ.กำแพงเพชร ซึ่งเขาจะมีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์อยู่แล้ว แต่ส่วนตัวแล้วตนไม่ค่อยเชื่อว่า การตายติดต่อกันของชาวบ้านจะเป็นเรื่องอาถรรพ์
นางเส็ง ชาวบ้านหนองกอง ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวอมรินทร์ทีวีว่า ก่อนที่นายสุรินทร์ ผู้เสียชีวิตศพที่ 4 จะเสียชีวิต เขาได้กลับจากงานเผาศพนางล้วน ในวันเสาร์ที่ 5 กันยายน 63 ระหว่างที่นายสุรินทร์ขี่รถมาถึงถนนกลางหมู่บ้าน เขาได้ขี่มาพร้อมกับรถของชาวบ้านอีก 2 คัน ระหว่างที่นายสุรินทร์กำลังจะขี่รถข้ามถนน ชาวบ้านอีก 2 คน ได้ตะโกนบอกนายสุรินทร์ว่า "อย่าเพิ่งข้ามถนน มีรถขับมา" แต่นายสุรินทร์ก็ไม่เชื่อ และตอบชาวบ้านว่า "ไม่มี" กระทั่งนายสุรินทร์ถูกรถกระบะชนเสียชีวิต
โดยตนและชาวบ้านคาดว่า นายสุรินทร์น่าจะมีผีผู้หญิงนั่งซ้อนท้ายมากับเขาด้วย และผีก็ได้บังตาให้นายสุรินทร์ไม่เห็นรถยนต์ที่ขับมา จนทำให้เขาเสียชีวิต คาดว่าน่าจะเป็นเรื่องตัวตายตัวแทน และนอกจากนี้หลังจากที่นายสุรินทร์เสียชีวิตไป 1 วัน ก็มีชาวบ้านได้ยินเสียงหมาเห่า และยังมีคนฝันอีกว่า นายสุรินทร์ไปนั่งร้องไห้ในจุดที่เขาเสียชีวิตอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม จุดที่นายสุรินทร์เสียชีวิต ก่อนหน้านี้ยังมีเหตุการณ์คนเสียชีวิตที่จุดดังกล่าวมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อ 5 ปี มีวัยรุ่นถูกรถชนเสียชีวิต 3 ราย ครั้งที่ 2 ประมาณ 1 ปี มีผู้ชาย 1 คน เกิดอาการเมาขี่รถมอเตอร์ไซค์ล้มเสียชีวิต และตนก็เชื่อว่าการตายของคนในหมู่บ้าน มีวิญญาณของผีมาเรียกให้คนในหมู่บ้านตายติดต่อกันอีกด้วย
พระมหาไพรวัลย์ ยันเผาศพวันไหนก็ได้ คนตายไม่เกี่ยวอาถรรพ์เสาหลักบ้าน ต่อให้ชาวบ้านไปทำบุญ เดี๋ยวมันก็ต้องมีคนตาย ควรแก้ที่ความเชื่อ หากไม่นับถือ ก็ไม่ให้โทษ
พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ พระนักคิดนักเขียน วัดสร้อยทอง มองว่า ค่านิยนมเรื่องวันไหนควรเผาศพ หรือไม่ควรเผา เป็นเรื่องที่มนุษย์กำหนดขึ้นเอง หากวันไหนเผาศพแล้ว เกิดเหตุการณ์ ศพไม่ไหม้ ก็ไม่ควรเผา แต่มันก็ไม่มี ดังนั้นเผาศพวันไหนก็ได้ ไม่เกี่ยวกับอาถรรพ์
อาตมาแนะนำว่า ควรเลิกให้ความสำคัญกับสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็น ถือเอามาเป็นความทุกข์ เช่น บางคนถือวันเผาศพ ว่าไม่ควรจะเผาวันไหน ซึ่งมันไม่มีประโยชน์ หากถือไปแล้วสร้างความไม่สบายใจ ก็น่าจะเลิกนับถือ
ทางแก้ ควรแก้ที่ความเชื่อ แก้ได้อัตโนมัติทันที ต่อให้ชาวบ้านไปทำบุญ เดี๋ยวมันก็ต้องมีคนตาย เป็นธรรมดา มันเป็นธรรมชาติ เรื่องเกิดแก่เจ็บตาย เดี๋ยวมันก็เกิดขึ้นอีก พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้เชื่อเรื่องฤกษ์ยาม ดังนั้นควรเปลี่ยนที่ความเชื่อของตัวเอง หากเราไม่เชื่อ มันก็ไม่ให้โทษ
