จากกรณี เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก ได้ดำเนินการจับกุม
นายเปรมชัย กรรณสูตร ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลี่ยนไทย จำกัด (มหาชน) กับพวกรวม 4 คน พร้อมของกลางอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน ซากสัตว์ป่าคุ้มครอง ประเภท ไก่ฟ้าหลังเทา เก้ง รวมถึงเสือดำที่ถูกชำแหละแล้ว ภายในเต้นท์พักแรม บริเวณจุดลำห้วยปะชิ พื้นที่ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
ล่าสุด เจ้าหน้าที่ได้นำตัว นายเปรมชัย พร้อมพวกส่งให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรทองผาภูมิแล้วโดยทั้งหมดอยู่ระหว่างการสอบปากคำของพนักงานสอบสวน โดยยังไม่มีการตั้งข้อกล่าวหาใดๆ เนื่องจากต้องรอหนังสือแจ้งความผิดจากทางเจ้าหน้าที่อุทยานฯ
นายธรรมรัตน์ วงศ์โสภา รักษาการผู้อำนวยการ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 บ้านโป่ง กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลการขออนุญาตเข้าพื้นที่ พบว่า กลุ่มบุคคลดังกล่าว ได้ทำเรื่องขออนุญาตเข้าพื้นที่จริง แต่ทางสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 ยังไม่ได้ดำเนินการอนุญาต เนื่องจากได้ยื่นเรื่องมาในวันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ และจะขอเข้าพื้นที่ในวันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์และเอกสารไม่ครบ ยังขาดข้อมูลที่สำคัญหลายอย่าง ประกอบกับการขออนุญาตทำในเวลากระชั้นชิด จึงยังไม่ได้ออกหนังสืออนุญาต
โดยถือว่า การเข้าไปครั้งนี้ เป็นการเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษปรับตามกฎหมาย และจะต้องพิจารณาแยกส่วนกันกับความผิดในการเข้าไปล่าสัตว์ป่า ส่วนอาวุธปืนที่ทางกลุ่มนำเข้าไปในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่า และถูกตรวจยึดได้นั้น ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า เป็นชนิดที่สามารถยิงล่าสัตว์ได้ทันทีหรือไม่ ขอให้เจ้าหน้าที่ได้สืบสวนสอบสวน และขยายผลไปยังผู้เกี่ยวข้องก่อน จึงจะสรุปได้ โดยยืนยันว่าไม่ได้ประวิงเวลาในการสรุปวำนวนจับกุม ก่อนส่งต่อให้พนักงานสอบสวน อย่างที่หลายคนตั้งข้อสงสัย
ปกติจะมีการตรวจค้นรถ และบุคคลอย่างละเอียดก่อนเข้าไปในพื้นที่ เพื่อป้องกันการลักลอบนำอาวุธเข้าไปในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม แม้ในชั้นจับกุมผู้ต้องสังสัยจะให้การปฏิเสธ แต่เชื่อว่าสามารถดำเนินคดีจากหลักฐานที่ตรวจยึดได้
ซึ่งขอย้ำว่าไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้ง หรือใส่ร้ายใคร และวันนี้แม้จะมีทนายความเดินทางมาด้วย แต่ก็ยังไม่ได้พูดคุยอะไร เพราะอยู่นอกเหนือหน้าที่ เพราะวันนี้ตนเดินทางมาในฐานะตัวแทนกรมอุทยานฯ ซึ่งต้องเข้ามาดูเพื่อนำไปเป็นตัวอย่าง อุดช่องว่างของกฎหมายไม่ให้เกิดกรณีแบบนี้ซ้ำอีก
โดยกรณีดังกล่าวจะเข้าข่ายความผิดตาม พรบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ในกรณีนี้ จะเข้าข่ายฐานร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยมิได้รับอนุญาต และมีไว้ในครอบครองซึ่งซากของสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาต ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 เป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ที่จะดำเนินการแจ้งข้อหาตามฐานความผิดต่อไป